ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
แนวรบการเมือง ทิศทาง‘รัฐธรรมนูญ’ อนาคตประเทศ
เป้าหมายของ “ราษฎร” ที่ประกาศชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา กับ เป้าหมายของ “ไทยภักดี” ที่ประกาศชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา
ต่างกัน
“ไทยภักดี” แสดงความภักดีต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ไม่ต้องการให้มีการแก้ไข เปลี่ยนแปลง เพราะคิดว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นคุณ
นี่ย่อมเป็นจุดยืนเดียวกันกับ “พรรครวมพลังประชาชาติไทย”
นี่ย่อมเป็นจุดยืนเดียวกันกับกระแสหลักอันมาจากรัฐบาล อันมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ผ่าน 250 ส.ว. ผ่านพรรคพลังประชารัฐ
เมื่อด้านหลักดำรงอยู่อย่างนี้แล้วคำประกาศของ “ราษฎร” ที่จะมากินหมูกระทะกันหน้าบริเวณรัฐสภาในวันที่ 17 และวันที่ 18 พฤศจิกายน จะมีประโยชน์อะไร
นี่คือ “ไต๋” อันกลบเอาไว้ของ “ราษฎร”
แรกที่ออกโรงเคลื่อนไหวในนามของ “เยาวชนปลดแอก” เมื่อเดือนกรกฎาคม ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทำไมพวกเขาจะไม่รู้ว่ากำแพงที่ขวางอยู่หนักหนาสาหัส
ไม่เพียงเป็นกำแพงที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หากแต่ยังเป็นกำแพงที่หมกเอาไว้ภายในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 นั่นก็คือไม่เพียงแต่เป็นรัฐธรรมนูญเพื่อการสืบทอดอำนาจ
ที่สำคัญ คือเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ยาก
ลำพังรัฐธรรมนูญเปิดทางให้ คสช.โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถจัดตั้ง 250 ส.ว.อันเท่ากับเป็นพรรคการเมืองส่วนตัว
ก็เหลือกิน เหลือใช้อย่างยิ่งอยู่แล้ว
นี่รัฐธรรมนูญยังสามารถใช้ “อภินิหาร”เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมืองผ่านพรรคพลังประชารัฐเข้ามาอีก
เท่ากับเป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็ก
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า “เยาวชนปลดแอก” เมื่อเดือนกรกฎาคมได้มีการยกระดับกระทั่งพัฒนามาเป็น “คณะราษฎร 2563” เมื่อเดือนตุลาคม
มิได้สะสมความจัดเจนเฉพาะแต่ในปี 2563
ตรงกันข้าม เป็นความจัดเจนจากเดือนมิถุนายน 2475 เป็นความจัดเจนจากเดือนตุลาคม 2516 และ 2519 เป็นความจัดเจนจากเดือนพฤษภาคม 2553
การล้อม “รัฐสภา” ครั้งนี้จึงรัดกุม
เป้าหมายอย่างแท้จริงมิได้อยู่ที่ 250 ส.ว. มิได้อยู่ที่พรรคพลังประชารัฐ หากแต่อยู่ที่พรรคร่วมรัฐบาลอย่างน้อยก็ 3 พรรคการเมือง
พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา
นี่คือการใช้พลังมวลชน 1 เปิดโปงโจมตี 250 ส.ว. เปิดโปงโจมตี พรรคพลังประชารัฐ และ 1 แยกสลายพรรคร่วมรัฐบาลให้แยกและแตกตัว
จะเลือก “เผด็จการ” หรือเลือก “ราษฎร”
สมรภูมิการต่อสู้ผ่านที่ประชุมรัฐสภาไม่ว่าในวันอังคารที่ 17 ไม่ว่าในวันพุธที่ 18 พฤศจิกายน จึงมีบทบาทและทรงความหมายในทางการเมือง
ณ เบื้องหน้า “ราษฎร”
มติที่ออกมาจึงเป็นมติที่ไม่เพียงแต่จะชี้ถึงทิศทางในอนาคตของ “รัฐบาล” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะดำเนินไปอย่างไร
หากแต่ยังชี้อนาคต “ประเทศไทย” อีกด้วย