แรงส่ง การเมือง
จาก รัฐประหาร‘พม่า’
การเมือง ในไทย
ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับรัฐประหารที่พม่า ไม่ว่าจะไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารที่พม่า ในที่สุดแล้ว ผลสะเทือนจาก “รัฐประหาร” ก็จะกระทบมาจนได้
อย่างน้อยก็มีการประท้วงของคนพม่า
ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง ณ บริเวณหน้าสถานทูต ถนนสาทร ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง ณ บริเวณหน้าอาคารสหประชาชาติ ถนนราชดำเนิน
ยิ่งกว่านั้น “อารยะขัดขืน” จากพม่าก็รุนแรง
ลำพังการนัดหมายกันเคาะหม้อ ไฟ ประสานกับการบีบแตร และเปิดไฟรถบนท้องถนนที่สัญจรไปมาก็ได้กลายเป็น “ไวรัล” ในโลกออนไลน์
ยัง “ปฏิกิริยา” ในทาง “สังคม” อีกเล่า
เห็นได้จากภาพการติดโบแดงของบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ว่าหมอ ไม่ว่าพยาบาล เห็นได้จากการลาออกจากบริษัทใหญ่อันเป็นเครือข่ายทหารของ “วิศวกร”
ที่สำคัญ ทุกคนล้วน “ชู 3 นิ้ว” อย่างพร้อมเพรียง
มีความพยายามจากคนบางกลุ่ม บางพวก นำเอาเหตุผลในการรัฐประหารของทหารพม่ามาประโคมเหมือนกับเป็นความชอบธรรม
รับรองว่าสามารถทำได้ตาม “รัฐธรรมนูญ”
กระนั้น ข้อมูลอันดำรงอยู่ภายในสังคมพม่า ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดและผล “การเลือกตั้ง” ที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างสูงในหมู่ทหาร
หากปล่อยให้ ออง ซาน ซูจี บริหารต่อคงเหนื่อยแน่
เพราะการเลือกตั้งเมื่อ 5 ปีก่อนชัยชนะของ ออง ซาน ซูจี ก็ท่วมท้นเหนือพรรคทหาร มาเมื่อเดือนพฤศจิกายนก็กุมชัยได้มากกว่าร้อย 80
นี่ย่อมส่อแนวโน้มที่จะนำไปสู่การแก้ไข “รัฐธรรมนูญ”
บทบาทและความหมายอันเป็นชัยชนะของพรรคการเมือง ออง ซาน ซูจี หมายความว่าอำนาจของกองทัพจะถูกลิดรอนลงเป็นลำดับ
จึงจำเป็นต้อง “รัฐประหาร” เพื่อรักษา “อำนาจ”
นับวันความชอบธรรมของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง ลาย จะถดถอยลงไปตามกระแสความไม่พอใจทั้งจากชาวพม่าและนานาอารยประเทศ
“ข้อมูล” ของ มิน อ่อง ลาย เริ่มแพร่กระจาย
เป็นกระบวนการสร้างความมั่งคั่งโดยการประกอบวิสาหกิจขนาดใหญ่ ใช้ทั้งอิทธิพลทางการทหาร อิทธิพลทางการเมือง
แม้กระทั่งเรื่องใน “ครอบครัว” ก็ไม่เว้น
รัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ จึงไม่เพียงเพื่อการเข้ายึดกุมอำนาจ หากแต่เพื่อรักษาฐานและขยายฐานในทางเศรษฐกิจ
เหมือนกับ “ทหาร” ในประเทศด้อยพัฒนาหลายประเทศ
แม้จะมีความพยายามจะแยกบทบาทรัฐประหารของพม่าให้เป็นเรื่องของพม่า แต่ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะแยกห่างออกจากรัฐประหารในไทย
กลับจะกลายเป็น “คู่แฝด” ในทาง “การเมือง”
การเปิดโปงกระบวนการรัฐประหารของ “กองทัพ” ในพม่า กลับกลายเป็นการเปิดโปงกระบวนการรัฐประหารของกองทัพ ของทหารในไทยไปโดยอัตโนมัติ
ไม่เพียงเพราะเป็น “บุตรบุญธรรม” ของ “ผู้มากด้วยบารมี”
หากแต่ประการสำคัญเป็นอย่างมากคือการเรียนรู้ในกระบวนการยึดอำนาจ สืบทอดอำนาจระหว่างทหารด้วยกันล้วนดำเนินไปอย่างสันถวมิตรสนิทสนม
ไม่รู้ว่าใครเป็น “ครู” ไม่รู้ว่าใครเป็น “ศิษย์”