บทนำ : ต้องเร่งรัด

บทนำ : ต้องเร่งรัด

บทนำ : ต้องเร่งรัด

ปัญหาวัคซีนโควิด ยาฟาวิพิราเวียร์ ที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อ และอุปกรณ์การแพทย์ โดยเฉพาะเครื่องช่วยหายใจ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงออกซิเจน เริ่มเป็นที่น่ากังวลว่าจะพอรองรับผู้ป่วยโควิดที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหรือไม่ ในเรื่องยารักษาโรคโควิด-19 นั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รายงาน ครม.ว่า ได้สั่งยาฟาวิพิราเวียร์ที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 จากญี่ปุ่น เข้ามาให้เพียงพอต่อการใช้ในประเทศ โดยกระจายไปยังหน่วยบริการต่างๆ ทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนทั่วประเทศแล้ว และกำลังให้องค์การเภสัชกรรมเจรจาสิทธิบัตร ขอสิทธิการผลิตยาชนิดนี้ในประเทศไทย เพื่อให้เกิดความมั่นคงในส่วนของเวชภัณฑ์ยามากขึ้น

ส่วนวัคซีนป้องกันโควิด รัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนแนวทางมาจัดหาวัคซีนที่ได้มาตรฐาน โดยไม่จำกัดผู้ผลิตให้มากที่สุด และให้กระจายวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงตามแผนทุกจังหวัด โดยให้ภาครัฐและเอกชน โรงพยาบาลเอกชนช่วยกระจายวัคซีน ดูแลระบบการให้วัคซีนให้มีประสิทธิภาพไม่ให้เกิดปัญหาระบบล่ม ที่น่าสนใจ ขณะนี้ ภาคประชาชนได้เข้ามามีส่วนในการรับแจ้งปัญหา และช่วยประสานข้อมูล เพื่อให้ผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย และกลุ่มเสี่ยง เข้าถึงการช่วยเหลือได้รวดเร็วขึ้น มีข่าวว่าจะปรับระบบให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น

ถือว่าเป็นข่าวดี ที่รัฐบาลเพิ่มความรวดเร็วในการจัดการปัญหา สอดคล้องกับตัวเลขการตืดเชื้อที่ยังทรงตัวอยู่ที่หลัก 2 พันคนขึ้นไป และล่าสุด ยังมีภาคเอกชน ที่นำโดยสภาหอการค้าฯ และสภาอุตสาหกรรม เข้ามาช่วยเหลือ โดยเฉพาะการระดมฉีดวัคซีน โดยใช้สถานที่ของภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า อาคารสถานที่ของสถานประกอบการ นิคมอุตสาหกรรม โรงงานต่างๆ โดยมีแผนที่จะฉีดวันละ 3 แสนเข็ม ใน 4 เดือน เพื่อให้ประชาชน 30 ล้านคน ได้รับวัคซีนก่อน แต่ก็ต้องยอมรับว่า แม้จะมีความพร้อม มีแผนการมากขึ้น แต่วัคซีนป้องกันโควิดจะเข้ามาถึงประเทศไทยในเดือนมิถุนายน หรืออีกกว่า 1 เดือน รัฐบาลน่าจะหาทางเร่งรัด นำวัคซีนเข้าประเทศให้เร็วกว่ากำหนด เพื่อสกัดการแพร่ระบาดให้ได้ ให้มีผลดีต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อไป

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image