ผู้เขียน | สุชาติ ศรีสุวรรณ |
---|
ที่เห็นและเป็นไป : ‘มีความสามารถ’แบบไหนกัน
การแถลงของ ศบค. ศูนย์กลางการบริหารจัดการโควิด-19 เมื่อวันที่ 13 พ.ค.2564 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ วันเดียว 4,887 คน
ทั้งนี้ เป็นผู้ติดเชื้อจากเรือนจำ 2,835 ราย คือจากทัณฑสถานหญิงกลาง 1,040 ราย และเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 1,795 ราย
น่ากลัวมาก เพราะเป็นไปไม่ได้เลยว่าในเรือนจำจะติดเชื้อกันวันเดียวเกือบ 3,000 รายในแหล่งเดียว จะต้องเป็นการติดเชื้อสะสมมาระยะหนึ่งแล้ว จากบางคนลามไปสู่หลายคน
เพียงแต่ไม่มีการตรวจ
คุกเป็นสถานที่ไม่เพียงควบคุมการระบาดได้ง่ายที่สุด เพราะผู้ที่ถูกคุมขังล้วนอยู่ในฐานะที่ต้องทำตามระเบียบแบบปฏิเสธหรือหืออือไม่ได้ ผู้คุมสั่งอย่างไร คำไหนต้องเป็นคำนั้น
การจัดการจึงง่ายกว่าที่อื่น
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ หากเกิดการระบาดขึ้นจะลุกลามไปใหญ่อย่างรวดเร็วและอันตรายต่อชีวิตมาก เพราะชีวิตในคุกอยู่กันอย่างแออัด ไม่มีทางที่จะอยู่โดยไม่สัมผัสกันเลย เป็นที่รู้กันว่า กระทั่งที่นอนหลับยามค่ำคืนยังต้องนอนตะแคงก่ายกัน เพราะพื้นเรือนนอนที่มีอยู่ไม่พอให้นอนหงายได้ทุกคน นอกจากขาใหญ่ที่ไม่มีใครยุ่ง ส่วนใหญ่ต้องนอนตะแคง
คุกมีศักยภาพรับนักโทษได้แค่แสนกว่าคน แต่คนที่ถูกจองจำมีมากถึง 360,000 คน
ไม่ใช่แค่แออัดยัดเยียดยิ่งกว่าปลาตกคลักในนาหน้าเกี่ยวที่น้ำเหลือแค่ปลักเล็กๆ แต่การรักษาสุขลักษณะยังทำได้อย่างจำกัด เหมือนชีวิตที่ไม่ใช่ชีวิต
กระนั้นก็ตาม ทุกคนยังเป็น “มนุษย์” ที่มีสิทธิจะมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ถูกละเลยให้ติดโรคจนป่วยตายไปต่อหน้าต่อตา
ที่สำคัญในรายละเอียดของชีวิตที่ถูกคุมขัง จากสถิติเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564 ในจำนวน 319,082 คน เป็นนักโทษเด็ดขาด หมายถึงคดีถึงที่สุดให้ต้องจำคุกแล้วแค่ 262,212 คน
ที่เหลือเป็นผู้ขังระหว่าง หมายถึงยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นนักโทษถึง 55,596 คน ซึ่งอยู่ระหว่างอุทธรณ์-ฎีกา 30,386 คน ระหว่างไต่สวน-พิจารณา 8,970 คน ระหว่างสอบสวน 16,240 คน คนเหล่านี้ตามกฎหมายไม่ให้นับว่าเป็นผู้กระทำความผิด แต่ต้องมีชะตากรรมเดียวกันกับนักโทษ เพราะไม่มีที่คุมขังเฉพาะให้
นี่น่าอนาถคือตรงนี้ เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าบางคนต้องติดคุกเพราะไม่ได้ประกันตัวด้วยสาเหตุต่างๆ ทั้งที่กฎหมายกำหนดชัดเจนว่ามีสิทธิประกัน หลายคนไม่มีเงินประกัน หลายคนถูกปฏิเสธการให้ประกันด้วยเหตุผลที่ยากจะทำใจยอมรับ
ยังมีเยาวชนที่ฝากขัง 25 คน ผู้ถูกกักกัน 41 คน ผู้ต้องกักขัง 41 คน หมายถึงเป็นการทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ถือว่าเป็น “นักโทษ”
แต่ทั้งหมดอยู่ร่วมในความแออัดและคุณภาพสาธารณสุข การอยู่การกินเดียวกัน
และวันนี้ต้องขนหัวลุกด้วยต้องมีชีวิตเสี่ยงกับโรคระบาดร้ายแรงเหมือนกัน
แน่นอน ผู้มีอำนาจในทุกระดับต้องออกมาพูดเสียงเดียวกันว่า “คุมสถานการณ์อยู่”
เพื่อปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกประเมินว่า “ไร้ความสามารถ”
แต่ความเป็นจริงเห็นกันอยู่ตำตา ถ้าคุมได้ต้องคุมให้ได้ก่อนหน้านั้นแล้ว
เรือนจำเป็นสถานที่ที่ใช้อำนาจได้เด็ดขาดเต็มที่ที่สุด ในพื้นที่จำกัดที่จัดการง่ายที่สุด กลับกลายเป็นรับรู้การระบาดเมื่อลุกลามไปเกือบ 3,000 คนแล้ว
เป็นการมีความสามารถแบบไหนกัน
ไม่ว่าจะเป็น “นักโทษ” หรือไม่ ทุกคนเป็นมนุษย์ที่จะได้รับสิทธิการดูแลให้ปลอดภัย
ยิ่งจำนวนไม่น้อยยังอยู่ในฐานะที่กฎหมายถือว่าเป็น “ผู้บริสุทธิ์” การต้องรับชะตากรรมเช่นนี้ เป็นการบริหารสิทธิมนุษยชนที่เลวร้าย
การอำนวยความยุติธรรมก็เรื่องหนึ่ง
แต่การอำนวยสิทธิมนุษยชนนั้น เป็นเรื่องสากลที่ทั่วโลกจับตา
ท่ามกลางการระบาดของโรค ปล่อยให้หละหลวมในสถานที่ที่ใช้อำนาจเต็มได้ทุกอย่างเช่นนี้ได้อย่างไร
แล้วสถานที่ที่ดูแลยากกว่านี้จะยิ่งเลอะเทอะกันไปใหญ่หรือไม่
สุชาติ ศรีสุวรรณ