จังหวะก้าวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัด “สาธิต” ปฏิบัติการของ “หน่วยควบคุมฝูงชน” หรือ “คฝ.” ถือได้ว่าเป็นปฏิบัติการ “เชิงรุก”
ยืนยัน “วิถี” แห่งหลักการ “ทางสากล”
ไม่เพียงแต่เป็นการสาธิตอย่างธรรมดาปกติ หากแต่มีการเชิญสื่อทั้งในและต่างประเทศเข้ารับชมกันอย่างคึกคัก
จากนั้น “ภาพ” และ “การเคลื่อนไหว” ก็ปรากฏ
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ “ภาพ” อันเป็นการสาธิตอย่างเป็นทางการ เมื่อนำไปวางเรียงอยู่เคียงข้างกับที่ปฏิบัติ “จริง”
กลับกลายเป็นหนังคนละม้วน
เพราะภาพที่ “สาธิต” กับที่สังคมรับทราบผ่านการลงมือ “ควบคุมฝูงชน” จริง แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าวิถี “การยิง” ไม่ว่าท่วงทำนองของ “คฝ.”
ต้องยอมรับว่า ตัวอย่างสดๆ ร้อนๆ ในภาคสนามอย่างน้อยก็มี 2 ตัวอย่างที่เสนอตัวเข้ามาให้สังคมเกิดการเปรียบเทียบ
นั่นก็คือ ภาพการควบคุมฝูงชนบนท้องถนน
ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสลายการชุมนุมของ “เยาวชนปลดแอก” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสลายการชุมนุมของ “กลุ่มทะลุฟ้า” ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
เป็นการเข้าสลายก่อนกำหนด “นัดหมาย” การชุมนุม
ยิ่งภาพอันเกิดขึ้นในพื้นที่สามเหลี่ยมดินแดง ตั้งแต่ตอนค่ำของวันที่ 1 สิงหาคม กระทั่งตอนค่ำของวันที่ 18 สิงหาคม
ยิ่งสร้างความต่างจาก “การสาธิต”
ไม่เพียงแต่มิได้ยิง “แก๊สน้ำตา” ขึ้นฟ้า ไม่เพียงแต่มิได้ยิง “กระสุนยาง” ตามหลักสากลโดยเล็งลงพื้นหรือต่ำกว่าเอว
ตรงกันข้าม กลับยิงเข้าใส่บริเวณ “หน้าอก” และบน “ใบหน้า”
ต้องยอมรับว่า เป้าหมายในการสาธิต “หน่วยควบคุมฝูงชน” ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือการประชาสัมพันธ์ในลักษณะของพีอาร์
เป็นการรุกทางด้าน “การสื่อสาร”
เพียงแต่สื่อในการส่งสารมิได้มีแต่สื่อในการควบคุมของทางราชการ ตรงกันข้าม กลับมีสื่ออิสระเกิดขึ้นและดำรงอยู่มากมาย
พร้อมกับภาพ “สาธิต” จึงปรากฏ “ภาพจริง”
เป็นภาพจริงไม่ว่าจะเป็นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่สะพานชมัยมรุเชฐ และสามเหลี่ยมดินแดง
เป็นภาพการสาดระสุนอย่างเปะปะ
ไม่เพียงแต่เป็น “แก๊สน้ำตา” ไม่เพียงแต่เป็น “กระสุนยาง” ตรงกันข้าม ระยะหลังกลับปรากฏ “กระสุนจริง” เล็งไปยังเด็กๆ
แม้แต่ชาวบ้านที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็กลายเป็น “เหยื่อ”
เป้าหมายที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการสาธิตเพื่อการประชาสัมพันธ์ เสมือนกับต้องการเปิดเกมรุกในทางการเมือง
ก็กลับกลายเป็น “การตั้งรับ”
นั่นเพราะว่าภาพจาก “การสาธิต” กับที่มีการปฏิบัติอย่างเป็นจริงในภาค “สนาม” กลับกลายเป็นคนละเรื่อง คนละอย่าง
แทนที่จะเป็น “บวก” กลับกลายเป็น “ลบ”