ภาพเก่าเล่าตำนาน : โลกหวาดผวา…ทาลิบัน

หน่วยข่าวกรองระดับโลก…ชี้เปรี้ยงว่า….หลังสหรัฐถอนทหารออกไปจากอัฟกานิสถานไม่เกิน 6 เดือน..รัฐบาลอัฟกานิสถานจะถึงแก่อวสาน พินาศ ล่มสลาย…

ผิดมหันต์… หน่วยข่าวกรอง… “สอบตกยกชั้น”…

หน่วยข่าวกรองมีหลายเกรดนะครับ “มืออาชีพ” กับ “มือสมัครเล่นที่อวดอ้างเป็นมืออาชีพ” ที่เจ็บปวดที่สุด คือ หน่วยข่าวที่ทรยศ หักหลังฝ่ายเดียวกัน… เจ้าหน้าที่ “มีอคติแฝง”

เป็นธรรมชาติของปุถุชน ทั้งหลายมีสิ่งนี้ติดตัวมาทั้งนั้น

Advertisement

สำนักข่าวระดับโลก ระดับชาติ ที่สาดข่าวออกมา กรอกหูผู้ฟังล้วนมี “วาระซ่อนเร้น” …เงิน คือ ตัวกำหนดทิศทางการทำงาน

“ข่าว-ข้อมูล” เป็นอาวุธร้ายแรง คนให้ข่าว-แหล่งข่าว “ไม่ซื่อ” พานายลงเหว พินาศป่นปี้มาก็เยอะ..ถึงขนาดเสียบ้าน เสียเมือง

แต่ที่ “เชื่อถือได้” ก็พอมีปรากฏอยู่…

Advertisement

1 ปีเศษที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ส่งคนไปคุยกับทาลิบันมาก่อนแล้ว ที่ประเทศกาตาร์ มิได้ปกปิดอะไร …ทาลิบันรู้ดีว่าจะเดินหมาก วางเกมอย่างไร .. เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน อนุมัติให้ถอนทหารสหรัฐ ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 64 ….กำลังทหารมะกันทยอยออก

มัน คือ นาฬิกาปลุก ทาลิบันนับหมื่นให้ “เริ่มทำงาน”

ทาลิบัน แปลเป็นภาษาไทยว่า นักเรียน หรือผู้แสวงหา

ไม่ถึง 1 เดือน… กองกำลังทาลิบัน ส่งกำลังรุกเข้ายึดเมืองสำคัญทีละเมือง ยึดอาวุธที่สหรัฐมอบให้ทหารรัฐบาลอัฟกัน นำกำลังทหารนับหมื่นมาจ่อชานเมืองหลวงคาบูล

สำนักข่าวใหญ่ของโลก…เห็นภาพทะลุ อ่านขาด แห่ไปทำข่าว

ประธานาธิบดี กานี เผ่นหนี ล่องหน หายตัวไปในกลีบเมฆ (19 ส.ค. 64 ออกมาแถลงข่าวว่าหนีไปอยู่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)

15 สิงหาคม 2564 ช่วงบ่าย ผู้นำกองกำลังทาลิบัน หน้าตาไร้รอยยิ้ม เข้าไปในทำเนียบ นั่งบนเก้าอี้ประธานาธิบดีอัฟกานิสถาน

นักรบหนวดเครายาว เต๊ะท่า หันซ้าย-ขวา จัดท่าทาง วางมุมกล้อง ถ่ายรูปหมู่ โพสต์ภาพลงโซเชียลมีเดีย จัดแถลงการณ์ เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก….เฮ้ย…มวยคู่นี้ทำไมน็อกเร็วจัง (วะ)

ระบบโซเชียลมีเดียของโลกในวันนี้.. มันสามารถพาเราเข้าไปนั่งในทำเนียบประธานาธิบดีพร้อมกับทาลิบัน

ที่คนทั้งโลกสนใจ คือ กองกำลังจอมโหด ที่ได้รับฉายาว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายระดับโลก เป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจของสหรัฐและบรรดามิตรประเทศของสหรัฐมานาน 20 ปี ฟื้นคืนมาได้ยังไง ?

“กองโจร” ที่ผู้หญิงอัฟกันทั้งหลายเกลียดชัง หายไปราว 20 ปี สามารถกลับเข้ามายึดอำนาจการปกครองประเทศได้

อุดมการณ์ ความฝันอันสูงสุด ของทาลิบันที่จะเป็นรัฐอิสลาม ปกครองด้วยกฎหมายอิสลาม ไม่เคยจางหาย…

ที่หายหน้าไป…ทาลิบัน ก็มิได้ตัวเปล่าเล่าเปลือย มีพรรคพวกที่รับรอง ตัวตน คือ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ปากีสถาน

ประเทศที่เป็นมิตรกับทาลิบันล้วน…ร่ำรวย มั่งคั่ง

นี่คือ จุดแข็งของทาลิบัน ที่ถือว่ามีชีวิตประดุจแมว 9 ชีวิต

สังคมโลกไม่พอใจกับพฤติกรรม ภาพลักษณ์ของกลุ่มทาลิบันที่ผ่านมา…

เหตุระเบิด การสังหาร ทรมาน เหตุก่อการร้ายที่ตายหมู่ทั่วโลก ถูกเชื่อมโยงไปที่กลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงในตะวันออกกลาง มากหลากหลายกลุ่ม…รวมทั้งทาลิบัน

อเมริกา..เข้ามาทำอะไรในอัฟกานิสถาน ?

เหตุการณ์ 9/11 ที่แสนเจ็บปวด คือ ชนวนที่นำพาให้อเมริกาส่งทหารเข้ามาในอัฟกานิสถาน

สหรัฐ…เข้ามาในอัฟกานิสถานด้วยเหตุที่ต้องการตัว บิน ลาเดน ที่ถูกชี้เป้าว่า หลบเข้ามาอยู่ในการอุปถัมภ์ของทาลิบัน

ทาลิบันเอาตัวอาชญากรหมายเลข 1 ของโลกไปซ่อน โยกย้ายไป-มา… ท้ายสุดไปนำตัวไปไว้ในปากีสถาน

ปี 2001 อเมริกา อังกฤษ และพันธมิตรนาโต้ เข้ามาทำสงคราม โค่นรัฐบาลทาลิบันลงได้ จัดการเลือกตั้ง มีประธานาธิบดี

ทาลิบันซุ่มซ่อน กบดาน ทำ “สงครามก่อการร้าย” กับสหรัฐ

โลก..หันมามองทาลิบันจากผลงานโหด-เหี้ยม…

ตุลาคม 2001 เหตุ “ช็อกโลก” คือ การทำลายรูปแกะสลักพระพุทธเจ้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สวยงาม และมีอายุราว 2 พันปีในอัฟกานิสถาน

หลักการของทาลิบัน คือ ต้องไม่มีสัญลักษณ์ของศาสนาอื่นใดในแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ แห่งนี้ เพราะที่นี่ คือ ดินแดนแห่งอิสลาม

นักรบ…ไม่ต้องการเห็นรูปแกะสลักที่หน้าผา…

ย้อนไปในช่วงศตวรรษที่ 6 มีคนกลุ่มหนึ่ง ในดินแดนอัฟกานิสถาน ขออุทิศชีวิต แกะสลัก สร้าง พระพุทธรูป ชื่อบามิยัน (Bamiyan) ที่สูงที่สุด ทุ่มเทชีวิต พลังงานศรัทธาการแกะสลักหน้าผาหิน มีเจตนารมณ์ให้บามิยัน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนา

แคว้นบามิยันอยู่ห่างจากกรุงคาบูล (เมืองหลวงอัฟกานิสถาน) ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 130 กม. เป็นพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลราว 2,500 เมตร

….เป็นประติมากรรมและชุมชนที่มีชีวิตชีวา บามิยัน เป็นศูนย์กลางที่คึกคักและมีพระสงฆ์นับพันรูป มีรูป แกะสลักที่โดดเด่นที่สุดสองรูป คือสูง 55 ม. และ 37 ม.
รูปแกะสลักขนาดใหญ่งามสง่า ได้รับอิทธิพลจากศิลปะและวัฒนธรรมของอินเดียเอเชียกลาง และวัฒนธรรมกรีกโบราณ

โบราณกาล….บริเวณนั้น เป็นพื้นที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับพ่อค้าและมิชชันนารีที่นำกองคาราวานไปค้าขาย จะแวะพักระหว่างการเดินทาง

พ่อค้าวานิชที่ผ่านไป-มาในพื้นที่นี้นับร้อยปี จะปฏิบัติตามศรัทธาของชาวพุทธ พวกเขาจะแวะบูชาเทพเพื่ออธิษฐานขอพรให้เดินทางปลอดภัย มีอารามหลายสิบแห่ง มีพระสงฆ์

ชาวโลกที่นับถือและไม่นับถือพุทธ ต่างยอมรับใน “คุณค่าแห่งศิลปกรรม” รวมถึงเวลาราว 2 พันปีที่มิได้ไปทำร้ายใคร

ราวมีนาคม 2001 มาถึงวาระสุดท้ายของพระพุทธรูป

นักรบทาลิบันไปขู่เอาชีวิตชาวบ้านในพื้นที่ บังคับให้ชาวบ้านราว 25 คน ปีนขึ้นไปเจาะที่ตัวพระพุทธรูป แล้วฝังระเบิด TNT เข้าไปทุกจุด ลากสายไฟ

ทาลิบันกดสวิตช์ระเบิด เสียงดังราวฟ้าฟาดสนั่นหุบเขา ถ่ายคลิป รูปแกะสลักหินทราย พินาศป่นปี้ พังลงมาแบบสะใจ

มีความสุข…ทำลายสถานที่ตรงนี้อวดสายตาชาวโลก

นี่คือ ภาพลักษณ์ ที่บ่งบอกนิสัยใจคอ ของทาลิบัน

เหตุการณ์ที่ 2 …ที่เขย่าขวัญชาวโลก คือ ทาลิบันบุกไปยิงศีรษะเด็กหญิงอายุ 11 ปี ที่เธอรณรงค์ให้เด็กผู้หญิงได้ไปโรงเรียน

เด็กหญิง มาลาลา ยูซัฟไซ (Malala Yousafzai) เป็นเด็กนักเรียนในเมืองมินโกรา ในเขตสวาท (Swat District) แคว้นไคเบอร์ปัคตูนควา ประเทศปากีสถาน

เธอเป็นที่รู้จักในแวดวงการศึกษาและการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิสตรี เธอเติบโตมากับครอบครัวชนชั้นกลาง เธอเห็นสังคมที่จมปลักอยู่กับความยากจน หลายคนไม่ได้เรียนหนังสือ

ซึ่งในเวลานั้น ทาลิบันห้ามเด็กหญิงมิให้เข้าศึกษาในโรงเรียน

กองกำลังทาลิบันส่วนหนึ่งเข้าไปตั้งหลักแหล่งในปากีสถาน (ปากีสถานมีพรมแดนเชื่อมต่อกับอัฟกานิสถาน แต่ปากีสถานปฏิเสธมาตลอดว่า ไม่เคยให้ที่พักพิงทาลิบัน)

ภายใต้การปกครองของทาลิบัน ผู้หญิงห้ามเรียนหนังสือ

เด็กผู้ชาย ต้องรับผิดชอบทุกสิ่งสำหรับชีวิตในครอบครัว

มาลาลา ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม เธอจึงเริ่มออกมาเรียกร้องความเท่าเทียมและการศึกษา พร้อมกับการสนับสนุนจากครอบครัว

วันหนึ่ง…ในปี 2008 เธอกับพ่อเดินทางไปยังชมรมสื่อวิทยุท้องถิ่น ประกาศทางวิทยุกระจายเสียงว่า

“ทาลิบันกล้าดียังไงถึงริบเอาการศึกษาขั้นพื้นฐานไปจากฉัน”

ประโยคสั้นๆ ของเด็กหญิงคนนี้ เขย่าขวัญ ทิ่มแทงใจทาลิบัน

กลุ่มทาลิบัน นำโดย มัวลานา ฟาสลูลลาห์ (Maulana Fazlullah) เป็นกองกำลังที่ควบคุมชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนอย่างเบ็ดเสร็จ สอนกฎหมายอิสลามผ่านคลื่นวิทยุกระจายเสียงของหมู่บ้าน

ผลงานโหด คือ ระเบิดโรงเรียนหลายแห่ง ชุมชนอยู่ท่ามกลางเสียงระเบิดและเสียงปืน หลายบ้านถูกปล้น ส่วนตำรวจที่ต่อต้านจะถูกฆ่า แล้วนำร่างมาวางไว้กลางเมืองเพื่อข่มขู่ประชาชน

มาลาลา..ยังคงมั่นใจในการทำงานของเธอ

เป็นตัวตั้งตัวตี ขึ้นเวทีปราศรัยบ่อยครั้ง เพื่อบอกว่าพวกเราทุกคนสามารถมีชีวิตที่ดีกว่านี้

….เธอเน้นว่า…เราขาดการศึกษาที่ได้มาตรฐาน ขาดความเห็นอกเห็นใจ และขาดโอกาสได้ทำตามความต้องการของตัวเอง…

พ่อของมาลาลา ที่สนับสนุนลูกสาว ช่วยสร้าง “บล็อก”

เด็กสาววัย 11 ปี เธอเขียนบล็อกให้กับ BBC เล่าชีวิตของตัวเองโดยใช้นามแฝงว่า กุลมาไค (GulMakai)

การกดขี่ของกลุ่มทาลิบัน ถูกนำมาบอกเล่า แบบที่ไม่เคยมีใครในโลกเคยทราบมาก่อน ….เด็กผู้หญิงถูกห้ามไม่ให้ไปโรงเรียน ห้ามอ่านเขียนหนังสือ ห้ามไปตลาด ต้องอยู่แต่บ้าน หากแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาดจะโดนทำร้าย ห้ามโทรทัศน์ท้องถิ่นฉายการ์ตูน

ทุกคนต้องดูและฟังสิ่งที่ทาลิบันอยากให้ดูเท่านั้น พวกเขาจำกัดสิทธิเสรีภาพของทุกคน และผู้หญิงจะโดนตีกรอบมากกว่าผู้ชาย

เธอตกเป็นเป้าของทาลิบัน…

9ตุลาคม 2012 ขณะอยู่บนรถโรงเรียน กลุ่มทาลิบันบุกขึ้นบนรถเธอโดนยิงเข้าที่ศีรษะ และเพื่อนๆ หลายคนถูกยิง มาลาลาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทหารของปากีสถานด้วยอาการโคม่า

ราว 1 สัปดาห์จนฟื้นจากอาการโคม่า ต้องหนีไปให้ไกลจากมัจจุราช…. เธอถูกส่งตัวไปรักษาต่อในประเทศอังกฤษ

สื่อกระแสหลักอย่าง BBC และในอเมริกาประโคมข่าวเต็มพิกัด

ชื่อของ มาลาลา ยูซัฟไซ เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว

เมื่อหายดีแล้ว..สาวน้อยผู้รอดตายราวปาฏิหาริย์ ได้รับเชิญไปกล่าวสุนทรพจน์ในเวทีสหประชาชาติประจำปี 2012 เธอกล่าวว่า..

“….หากฉันมีปืนอยู่ในมือ แล้วเขา (คนที่ยิงมาลาลา) อยู่ตรงหน้า ฉันก็จะไม่ยิงเขา เพราะความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์คือสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากศาสดามูฮัมหมัด ผู้สอนเรื่องความเมตตา เช่นเดียวกับพระเยซูและพระพุทธเจ้า ฉันจะไม่ต่อต้านใคร และมาที่นี่เพื่อหวังให้เด็กทุกคนได้เข้าถึงการศึกษา ไม่เว้นแม้แต่ลูกหลานของทาลิบัน หรือกลุ่มก่อการร้ายอื่น ๆ….”

โลกรู้จักเธอผู้กล้าแกร่ง พร้อมกับ รู้จัก “ทาลิบัน”

เธอเป็นเยาวชน ที่โด่งดังที่สุดในโลกประจำปี 2013 เป็นต้นแบบของคนรุ่นใหม่ การกระทำของเธอกล้าหาญ ตรงไปตรงมา ทำให้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ปี 2014

ผ่านไปราว 8 ปี หลังจากถูกยิง…

19 มิถุนายน 2563 เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขา ปรัชญาการเมือง และเศรษฐศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด

ที่เล่ามายืดยาว ด้วยเหตุผล…“วิธีคิด วิธีปกครอง ของคนถืออาวุธ” ที่ผ่านมาของทาลิบันเป็นเรื่อง “สยดสยอง”

50 กว่าปีที่แล้ว ชาวอัฟกานิสถานมีชีวิต คุณภาพชีวิตในระดับสากล ผู้หญิงนุ่งกระโปรง ไปเรียนหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง

15 สิงหาคม 2564 ทาลิบันกลับมายึดประเทศได้ อาการหลอกหลอน หวาดผวา ผู้หญิง คือ ผู้เคราะห์ร้าย ต้องใส่ชุดคลุมศีรษะจรดเท้า ต้องอยู่บ้านเท่านั้น ประชาชนห้ามดูหนัง ห้ามร้องเพลง

การปกครอง…จะใช้หลักของศาสนาอิสลาม การลงโทษตามการตีความกฎหมายชารีอะฮ์ที่เคร่งครัด เช่น การประหารชีวิตผู้ถูกตัดสินว่าเป็นฆาตกรและผู้ล่วงประเวณีในที่สาธารณะ และการตัดแขนขาสำหรับผู้ที่พบว่ามีความผิดฐานลักทรัพย์ ผู้ชายต้องไว้เครา….

ชาวอัฟกันนับล้านกำลังหาทางหนีตาย หนีออกนอกประเทศ ถึงขนาดขอเกาะตัวถังเครื่องบินลำเลียงของกองทัพสหรัฐ

เมื่อเครื่องบินไต่ระดับ..เด็กหนุ่ม 3 คนทนแรงลมไม่ไหว ตกจากอากาศถึงพื้น..ตายอนาถ

ทาลิบันประกาศจะไม่ล้างแค้น คนอัฟกันทราบดี…ใครจะเชื่อ

พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image