มหาวิกฤตโควิด-19 กับการเมือง

10กันยายน 2564 ที่รัฐสภา โดยสมาชิกรัฐสภามีมติรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ด้วยคะแนนเห็นชอบ 472 เสียง ไม่เห็นชอบ 33 เสียง และงดออกเสียง 187 เสียง โดยเฉพาะในส่วนของ ส.ว.มีผู้เห็นชอบทั้งหมด 149 เสียง จาก 250 คน เท่ากับเทคะแนนให้กลับไปใช้กติกาเดิม ตามข่าวเบื้องหลังผลจากการล็อบบี้ของทีมจัดการ ส.ว.สายบิ๊กป้อมที่สนับสนุนสาย “บิ๊กตู่”

ตามสภาพของท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำหนดวงการเมืองของตนเองอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ในฐานะฝ่ายบริหารปล่อยให้ พล.อ.ประวิตร เป็นผู้จัดการทางการเมืองในส่วนของ ส.ว. รวมถึงการวางกำลังในสาย ส.ว. 250 ชีวิต

ผลมันก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดที่เสียงจะออกมาเข้าทาง “พี่ใหญ่” จากปัญหารัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 : การเลือกตั้งที่ผ่านมาใช้เพียง 1 ใบ เลือกทั้งเขตพื้นที่และพรรคแล้วคิดสัดส่วนผลทำให้เกิดการสับสนวุ่นวายไม่รู้จบ จากการคิด “เลขคณิต” ปั่นป่วนไม่หยุด จนมาถึงชุดนี้ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยใช้ฐานรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2560 โดยเนื้อหาที่สำคัญจุดใหญ่คือ แก้ไขจากบัตรเลือกตั้ง 1 ใบ เป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ บัตรเลือกตั้ง 2 ใบนี้ ใบหนึ่งเลือก ส.ส.เขต จำนวน 400 คน อีกใบหนึ่งเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน

อย่างไรก็ตาม ทุกพรรคต่างรู้ชะตาชีวิตของตนเองเบื้องต้นว่า พรรคที่จะได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคใหญ่ 2 พรรคที่จะได้เปรียบคือ “พรรคพลังประชารัฐ” กับ “พรรคเพื่อไทย” บวกกับ “พรรคประชาธิปัตย์” (เจ้าของปมแก้ไขรัฐธรรมนูญ) และคาดว่าพรรคเกิดใหม่อย่างพรรคภูมิใจไทย พรรคก้าวไกล และพรรคเล็กอื่นจะถดถอย หรืออาจหมดโอกาส แต่ก็ไม่อาจประมาท “พรรคภูมิใจไทย พรรคก้าวไกล” ก็ยังมีโอกาสเหมือนกัน แต่ทุกอย่างไม่อาจราบรื่นได้ทั้งๆ ที่ผ่านวาระ 3 แล้ว จึงมีโอกาสคนจะร้องศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะประเด็น “การแก้ไขเกินหลักการ” เกินหลักการเพราะร่างรัฐธรรมนูญที่รัฐสภาโหวตวาระ 1 นั้นแก้ไขเพียง 2 มาตรา แต่พอเข้าคณะกรรมาธิการได้แก้ไขมากกว่านั้น แม้จะมีบางคนอธิบายความกันในการประชุมของคณะว่า “สามารถทำได้” แต่ก็ยังเป็นประเด็นที่ให้ยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญเพื่อชี้ขาดต่อ แต่กระแสข่าวพรรค “ภูมิใจไทย” คงไม่ร่วมยื่นเพราะทุกอย่างจบแล้ว

Advertisement

อนึ่ง ในสถานการณ์อีกมุมหนึ่งที่ตะลุมบอนกันเลือดพล่านเกมการเมืองฟาดฟันกัน แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กันจนไม่ได้ยินเสียงโอดครวญของชาวบ้าน ตามฉากกบฏขุมข่ายทีม ท.ทหาร “3 ป.” ก่อรัฐประหารโค่นอำนาจกันเอง

ผลกระทบอาการ “ช็อก” จากสึนามิ ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจผลโหวต “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ได้คะแนนไม่ไว้วางใจ 264 เสียง รองบ๊วย ขณะที่เหนือ “ลูกพรรค” อย่าง นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เพียงแต้มเดียว ขณะเดียวกันนายกฯได้คะแนนสูงสุดไม่ไว้วางใจ 208 คะแนน ล้อกับแผน “ด้อยค่า” ขบวนการเปลี่ยนแปลงผู้นำ

หลังจากวันลงมติดังกล่าวเพียง 5 วันก็เกิดปรากฏการณ์ “จุดแตกหัก” ราชกิจจานุเบกษาประกาศให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรฯ และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามที่นายกฯพิจารณาแล้วเห็นสมควร “ปลด” กันแบบไม่ให้ทันรู้ตัว ผลของราชกิจจานุเบกษา ก่อนคิวที่ “ผู้กองธรรมนัส” จะแถลงข่าวยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง แสดงถึงการหักกันอย่างรุนแรง

แต่ไม่ใช่ ร.อ.ธรรมนัส กับนางนฤมล ที่โดน “ขึ้นเขียง” ข้อหาก่อการกบฏโค่นผู้นำ แต่ผลกระทบซึ่งยังพุ่งเป้าไปยังลูกพี่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะ “หัวหน้าพรรค พปชร.” ทั้งนี้ รับปากกันไม่มีปรับ ครม. ไม่ปลด “ธรรมนัส” ตัดจบด้วยบารมี “พี่ใหญ่” ที่ไม่สามารถคุ้มครอง “ปกป้องกล่องดวงใจ” ไม่ได้เรียกว่า “ตีวัวกระทบคราด” ได้อย่างดี จะเกิดปมคาใจกันอย่างแรง และเกมต่อไป แน่นอนเมื่อ “บิ๊กตู่” เล่นบทโหดเชือดนายทหารระดับ ร.อ.ธรรมนัส ไม่น่าจะหยุดที่ยึดเก้าอี้รัฐมนตรี แต่น่าจะถามถึงการปลดหรือโละออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ

แต่โดยที่ “ร.อ.ธรรมนัส” ก็พูดที่โพเดียมชัด รอแยกตัวไปตั้งพรรคใหม่ แต่นายใหญ่ “บิ๊กป้อม” เปรยๆ ว่าไม่มีการขยับตำแหน่งเลขาฯพรรค และโครงสร้างพรรค และไม่มีปรับ ครม.

ผลกระทบ : สถานการณ์พรรคพลังประชารัฐคงต้องกระเพื่อมมีการปรับเปลี่ยนตามอาฟเตอร์ช็อกปราบกบฏ และในสถานการณ์ท้าทาย บิ๊กตู่เองก็ปฏิเสธไม่ได้ เมื่อไม่มี ร.อ.ธรรมนัส ก็เท่ากับขาดมือที่ครบเครื่องทั้งบนดินใต้ดิน ซึ่งเป็นมือขวา มือทำงานทางการเมืองของบิ๊กป้อมตามที่ปรากฏฝีมือการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ที่ผ่านมาได้ผลเชิงประจักษ์

แน่นอนตามสภาพของอำนาจ 3 ป. ที่เคยแน่นหนาสยายปีกขุมข่ายคุมอำนาจประเทศไทยทุกย่อมหญ้า 7-8 ปีที่ผ่านมาสั่งสมบารมีพอๆ กับระบอบ “ทักษิณ” แต่ศึกนี้ที่เกิดขึ้นมันตอกลิ่มรอยร้าวลึกเกินที่ประสาน จากที่แตกเป็นก๊ก เป็นเสี่ยงๆ กลับมาให้เป็นเนื้อเดียวกัน เหมือนแก้วที่แตกรอยร้าวแล้วฉันนั้น

หนีไม่พ้นไตรลักษณ์ : สัจธรรมที่ “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” แต่เกมดังกล่าวนี้มันยังสะเทือนถึงเกมฮั้วข้ามขั้ว คิวโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่ดูเหมือนไม่มีเดิมพันอะไร ก็เป็นไปตามธง ล็อกโพยกันในตามที่กล่าวข้างต้น ผลประโยชน์ร่วมสร้างความได้เปรียบสนามเลือกตั้งเข้าเหลือบพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ชอนไชพรรคการเมืองขนาดเล็ก (แต่ประมาทไม่ได้) ฝันข้ามช็อตไปถึงรัฐบาล 2 พรรคใหญ่เลือกตั้งรอบหน้า

โอกาสลุ้นมาถึงจุดใกล้เคียงความจริงมากที่สุด แต่ที่สุดก็กรรมการเป่า “ฟาวล์” เสียก่อนแต่ก็ต้องติดตามการเมืองต่อไป เพราะ “กบฏพลังประชารัฐ กับ บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ” กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ขณะเดียวกัน ส.ว.ประสาทไวบางกลุ่มสายหนุน พล.อ.ประยุทธ์ พวกต่อต้านตระกูลชินออกมาตีปี๊บสัญญาณต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เข้าเหลี่ยมพรรคเพื่อไทย ระดมทีมโหวตคว่ำไม่ยื่นดาบให้ทีมพรรคเพื่อไทยฆ่า “บิ๊กตู่” เดิมฝันอยู่ที่ ส.ว. 84 เสียงตามเงื่อนไข ถ้าได้ไม่ถึง ร่างรัฐธรรมนูญบัตรเลือกตั้ง 2 ใบก็ต้องตกไป

แต่สุดท้ายเลยที่ประชุมรัฐสภาก็โหวตผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ดังกล่าวแล้วข้างต้น ซึ่งกล่าวย้ำอีกทีว่า มันก็ไม่แปลกที่เสียงจะออกมาเข้าทาง “พี่ใหญ่” อย่างบิ๊กป้อม ซึ่งเป็นอีกช็อตที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตกเป็นรองในเกมวัดเสียงในสภา

ผู้นำมีอำนาจ แต่กระบวนการเมืองที่ผ่านมาก่อนการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2562 ถึงปัจจุบัน ผู้นำของเราใช้ฐานเสียง ส.ส.และ ส.ว.เป็นกองกำลังส่วนตัว สั่งซ้ายหันขวาไม่ได้ ในสภาพที่พรรคพลังประชารัฐระส่ำระสายแตกหัก ส่วนหนึ่งก็คือกำลังหลักของ “ผู้กองมนัส” อย่างน้อย 40 เสียง และอยู่ในกำกับของ “บิ๊กป้อม”

อนึ่ง แม้วิกฤตโรคร้ายไวรัส-19 ที่ระบาดสูงรุนแรงในช่วงเดือนที่แล้ว “สิงหาคม” มีผู้คนตายสูงมาก ผ่านสู่เดือนกันยายนต้นเดือน ยังผลให้เศรษฐกิจก็ย่ำแย่ ซ้ำนักการเมือง ระเบิด “กบฏการเมือง” ภายในพรรครัฐบาลภายใต้เงื่อนไข สถานการณ์ที่ “หักดิบ” กันแรงๆ มันย่อมเป็นบูมเมอแรงกับสถานภาพของ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ยึดดาบยุบสภามาอยู่ในมือได้ชั่วขณะ แต่ช่วง “ออกพรรษา” “ลอยกระทง” อีกไม่กี่เดือนก็ถึงจังหวะสภาเปิดสมัยประชุมในคราวเดือน “พฤศจิกายน” ปลายปี

เกมเปิดให้ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ “บิ๊กตู่” ก็ต้องเสียวกับ “แต้ม” ใต้พรมหรือ “ซ่อนแต้ม” ในสภาพการยุบสภาหลุดมือ โอกาสเกิด “มหาวิกฤตโควิดการเมือง-19” กับ “รัฐบาล” โดนคว่ำกระดานจากแนวร่วมได้ไม่ยาก ไงเล่าครับ

ท้ายสุด การเมืองรุนแรง ใครจะร่วง แต่เราต้องรอดจากโควิด-19 (ฮา) ด้วยการดูแลสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัว ให้ปลอดโรค ปลอดภัย ด้วยหลัก 5 ประการ

1.เร่งฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ตัวเราเองให้ครบ อย่าลืม “3 อ” ออกกำลังกาย ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อารมณ์ดี 3 ลด : ลดอ้วน ลดละเหล้า ลดละบุหรี่

2.ใส่ Mask 100% ทุกที่ทุกเวลา

3.กินร้อน ช้อนส่วนตัว แยกสำรับ แยกวง

4.ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ แอลกอฮอล์

5.สังเกตตัวเอง ถ้ามีอาการไข้หวัด ไอ ไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา ไอมากขึ้น หายใจขัด รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ ไงเล่าครับ

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร
อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image