ที่เห็นและเป็นไป : ที่พรรคการเมืองต้อง‘คิด’

ที่เห็นและเป็นไป : ที่พรรคการเมืองต้อง‘คิด’

แม้จะมีการชุมนุมของประชาชนเกิดขึ้น โดยเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก เพื่อเปลี่ยนผู้นำประเทศอยู่อย่างต่อเนื่อง

แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า ไม่ว่าประชาชนจะมาม็อบกันมากหรือน้อย ด้วยเหตุผลขับไล่ไสส่งนายกรัฐมนตรีให้ลาออกไปด้วยเหตุผลที่หนักแน่นและดูจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติแค่ไหน ไม่ว่าจะด้วยถ้อยคำและการแสดงออกที่รุนแรงมากน้อยอย่างไร

ไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะลาออกเพราะการรวมพลังขับไล่ของประชาชน

พลังของประชาชนไม่มีทางที่จะทำอะไร พล.อ.ประยุทธ์ ในโครงสร้างอำนาจที่กติกาคุ้มครองไว้แข็งแกร่ง และมีกองกำลังที่ดูแลควบคุมเอาเป็นเอาตายเช่นนี้

Advertisement

ส่วนใครที่คิดว่า “รัฐสภา” จะเป็นสถาบันที่พึ่งพาได้ จะรับฟังเสียงเรียกร้องของประชาชน เหตุการณ์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า “หวังไม่ได้เลย”

“วุฒิสภา” ชัดเจนว่าแค่ “ฝักถั่ว” ที่มีขึ้นเมื่อโหวตอย่างเป็นเอกภาพไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายกุมอำนาจทุกครั้ง

ไม่มีเจือปนแม้แต่คนเดียวที่มีความคิดความเห็นต่างออกไปจากอำนาจแต่งตั้งพวกเขาเหล่านั้นขึ้นมากินเงินเดือนอันมาจากภาษีของประชาชน และผลประโยชน์อื่นจากหัวโขนที่มีบทบาทหน้าที่นั้น

Advertisement

“ส.ส.” หรือ “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ก็ไม่ต่างกัน การทำหน้าที่ในกติกากำหนดโครงสร้างอำนาจเช่นนี้ บทบาทที่ผ่านมาของ “ส.ส.” แทบไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรให้เกิดความเชื่อว่าจะเชื่อมั่นในการทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชนจะประสบผลสำเร็จ ทำให้รัฐสภาโหวตไปในทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้

การทำหน้าที่ของ “ส.ส.” ทำให้เกิดเรื่องเล่าว่า “รัฐสภา” เป็นแดนอันตราย เพราะพื้นทางเดินในตึกปีกรัฐบาลนั้นลื่นมาก กระทั่งล้มหัวแตก ขาแข็งหักเอาง่ายๆ เพราะ “เปลือกกล้วย” ที่ ส.ส.รัฐบาลกินทิ้งกันไว้เกลื่อน

ส่วนตัวฟากฝ่ายค้านน่ากลัวไปยิ่งกว่านั้น เพราะชุกชุมด้วยงูเห่า ที่จะแว้งกัดทุกครั้งที่มีการโหวตในสภา และประหลาดตรงที่เป็น “งูเห่ากินกล้วย”

ไม่มีราคาอะไรที่จะทำให้ “นายกรัฐมนตรี” ต้องหวาดหวั่นว่าจะอยู่ไม่ได้

ดังนั้น ไม่ว่าใครหน้าไหนจะไม่พอใจสักเพียงใด และหน้าที่บูดบึ้ง เหนื่อยหน่าย ไม่พอใจนั้นจะสลอนไปทั่วประเทศมากมายเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะมีพลังพอทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องกังวล เก้าอี้นายกรัฐมนตรียังเย็นสบาย และมั่นคงอย่างไม่มียุคใดเสมอเหมือนอยู่เช่นเดิม และตลอดไปเท่าที่อยากอยู่

และใครที่คิดว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะลาออกเอง หรือยุบสภาก็คงเลิกคิดไปแล้ว

เพราะในช่วงที่ประลองกำลังใน “ศึกล้มนายกฯ” ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นตัวแสดงหลัก คำตอบมีอยู่ในวันที่ “พล.อ.ประยุทธ์” เดินเข้าหากองทัพผู้สื่อสาร และประกาศว่าจะไม่ลาออกและยุบสภา เพราะมี “งานใหญ่” ที่ต้องทำให้สำเร็จ

“งานใหญ่” คืออะไรนั้น ไม่มีใครคาดเดาได้ชัดเจน แต่ที่ชัดเจนคือ “ยังอยู่อีกยาว”

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น ต้องอยู่แค่ในวาระคือ “4 ปี” และที่เหลืออยู่แค่ปีกว่าๆ ดูไม่น่าจะพอกับที่ต้องทำ “งานใหญ่ให้สำเร็จลุล่วงแบบเด็ดขาด” ไม่ว่างานใหญ่นั้นเป็นอะไรก็ตาม

นั่นหมายความว่า ในภารกิจที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ตั้งเป้าหมายไว้ต้องทำให้สำเร็จคือ “ต้องกลับมาอีกครั้งให้ได้หลังเลือกตั้ง”

ทำอย่างไรให้ “พรรคที่เสนอชื่อตัวเองเป็นนายกฯ” ชนะการเลือกตั้ง

7 ปีที่ผ่านมา มีหลายเรื่องราวที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการประเทศที่ทำให้เกิดความกังวลว่าอาจควบคุมเสียงข้างมากในสภาไว้ไม่ได้ หรือได้ก็น่าจะยากกว่าที่ผ่านมา

เมื่อมีปัญหากับฝ่ายเดียวกันที่เคยสนับสนุนอย่างขันแข็ง ยิ่งทำให้ยากขึ้นไปอีก แม้จะยังค้ำยันอยู่ด้วย “วุฒิสภา”

ด้วยเหตุนี้เอง เสียงแว่วๆ ถึง “รัฐประหาร” จึงมีมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ หลายครั้งเป็นเสียงที่หนักแน่นทีเดียว เพราะคนที่รำพึงออกมาเป็นคนในศูนย์กลางอำนาจ ที่มีข้อมูลพอจะเชื่อว่า “รัฐบาลของประชาชน” ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้ในจังหวะเช่นนี้

จังหวะในกรอบของ “ยุทธศาสตร์ 20 ปี”

นั่นเป็นความเชื่อที่ว่าไป แม้จะไม่ชวนให้หดหู่ แต่หากมองด้วยเงื่อนไขที่เป็นไปได้แล้ว ย่อมเป็นความเชื่อที่มีเหตุผลอยู่ไม่น้อย

แต่กระนั้นก็ตาม การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป เนื่องจากมีเยาวชนของชาติอีกมากมายที่ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต่อสู้ด้วยความฝันว่าจะสร้างอนาคตที่มีความหวังอันสดใสขึ้นได้ในแผ่นดินเกิดนี้

การทำให้วันเลือกตั้งเป็นวันประกาศการต่อสู้ ด้วยเสียงวิงวอนให้ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย ช่วยเหลือส่งมอบอนาคตที่มีความหวัง สร้างประเทศในรูปแบบที่พวกเขาฝัน

จึงเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้น

และนั่นหมายถึง หากฝันนั้นเกิดขึ้นจริง การเผชิญหน้ากับการใช้อำนาจที่เข้ามาเพื่อทำลายความฝัน จะเป็นปรากฏการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

สุชาติ ศรีสุวรรณ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image