ที่เห็นและเป็นไป : พปชร.-เพื่อไทย ต่าง‘ฉลาดเลือก’

ที่เห็นและเป็นไป : พปชร.-เพื่อไทย ต่าง‘ฉลาดเลือก’

ที่เห็นและเป็นไป : พปชร.-เพื่อไทย ต่าง‘ฉลาดเลือก’

ความสนใจของผู้คนต่อความเคลื่อนไหวทางการเมืองช่วงนี้ แน่นอนที่สุดว่าตื่นเต้นกับเกมที่สู้กันดุเดือดในพรรคพลังประชารัฐ ทว่าที่ทำให้ทุกสายตาลุกวาวขึ้นมาฉับพลันคือการเปิดตัวทีมบริหารชุดใหม่ของพรรคเพื่อไทยที่มากมายด้วยสีสันแบบอลังการงานสร้าง

ถ้าอธิบายด้วยคำถามว่า “ศึกในพลังประชารัฐ ใครชนะ” คำตอบชัดว่า “มันจบแล้วนาย”

ภาพหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรคที่ก่อนหน้านั้นบอกว่าเพื่อ “ปรับโครงสร้าง” ในความหมายของปลดคนนั้นออก แต่งตั้งคนนี้เข้า สรุปออกมาว่า “ไม่มีปรับอะไรทั้งสิ้น ทุกคนนั่งอยู่ในเก้าอี้ตัวเดิม”

Advertisement

ผลที่เกิดขึ้นนี้ตอบเป็นคำตอบต่อคำถามหลายเรื่อง

คำตอบแรก ผู้มีอำนาจจริงในพรรคพลังประชารัฐ เป็น “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ไม่ใช่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” และไม่ต้องพูดถึง “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”

คำตอบต่อมาคือ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ยังบารมีล้นเหลือในฐานะ “เส้นเลือดใหญ่” ที่ทำให้ใครที่คิดว่าเทียบเท่าเข้าแทนได้ต้องทบทวนตัวเองครั้งใหญ่ว่าจะรักษาสถานะเดิมไว้ได้อย่างไร

Advertisement

ต่อมาและสำคัญมาก คือระหว่างการจัดการเพื่อ “เตรียมการเลือกตั้ง” กับเพื่อ “ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์อุ่นใจว่าเก้าอี้นายกรัฐมนตรีจะไม่ถูกฟันขาทิ้งให้หักโค่นลง” นั้น

“พรรคพลังประชารัฐ” เลือกเอื้อให้ “ความพร้อมของศักยภาพที่จะต่อสู้ในการเลือกตั้ง” ความเป็นไปของ “นายกฯตู่” เป็นเรื่องรอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลที่จะตามมานับแต่นี้เป็นเรื่องที่ไม่ยากจะคาดเดา

คีย์เวิร์ดจะอยู่ที่ “ตู่กับป๊อก” จะแสดงออกด้วยอารมณ์เจ้าคิดเจ้าแค้นที่มีต่อ “ผู้กองนัส” แค่ไหน

เป็นเกมวัดความนิ่งที่เกิดจากความแตกต่างของประสบการณ์ชีวิตที่เผชิญนาทีที่ต้องวางเดิมพันชีวิตอย่างเฉียบขาด

หัวใจที่ต่างกันด้วย “ชีวิตใครกล้าท้าทายกับความเป็นความตายมากกว่า”

นั่นเป็นเรื่อง “พลังประชารัฐ” กับ “รัฐบาล” ที่ชะตากรรมของ “นายกรัฐมนตรี” มาอยู่ในมือ “เส้นเลือดใหญ่ของพรรค” โดยมี “พี่รองของ 3 ป.” ที่เคลื่อนแรงก่อนหน้านั้น ทำได้แค่นั่งมองตาปริบๆ ปล่อยให้ “น้องเล็ก” เคว้งคว้างอยู่ในความไม่แน่นอน

อย่างไรก็ตาม การให้ความสำคัญต่อ “เส้นเลือดใหญ่” อันหมายถึงมองไปที่ “การเลือกตั้ง” นั้น นับว่าคนพลังประชารัฐตัดสินใจเลือกอย่างมีเหตุผลยิ่ง

เนื่องด้วยหากหันมาดูคู่แข่งสำคัญคือ “เพื่อไทย” ที่เปิดตัว “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” อย่างอลังการงานสร้างในตำแหน่ง “ประธานที่ปรึกษาพรรค” โดยหาช่องให้มือยุทธศาสตร์ตัวจริง “หมอเลี้ยบ-สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี” ในเก้าอี้ “ผู้อำนวยการพรรค” ในฐานะพนักงานกินเงินเดือนพรรค ไม่เกี่ยวกับการเป็นนักการเมืองที่จะเสี่ยงต่อการถูกตีความเรื่องคุณสมบัติ

นั่นคือการโฟกัสไปที่จุดขายที่แท้จริงของ “เพื่อไทย” อย่างแหลมคม

ด้วยในความเป็นจริงของ “ฐานะคะแนนนิยม” ของ “เพื่อไทย” ชัดเจนที่สุดคือ “ทักษิณ ชินวัตร”

ชัดเจนในระดับที่แทบจะเป็นคำตอบเดียวว่า “เพื่อไทยจะเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่ได้ จะรุ่งเรืองแลนด์สไลด์หรือเหี่ยวเฉาลง” ขึ้นอยู่กับทำให้เป็นภาพว่าเชื่อมต่อกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ฝากผลงานตรึงความนิยมตลอดกาลไว้ได้แค่ไหน

เมื่อ “อุ๊งอิ๊ง” คือลูกสาวที่เปิดเผยตัวเองในมุม “ผู้ร่วมประสบการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิดกับพ่อมาตั้งแต่เด็ก และเข้าอกเข้าใจในความรู้สึกนึกคิดของพ่อมากกว่าใครๆ” เดินคู่มากับ “หมอเลี้ยบ” คนสนิทเก่าแก่ของ “ทักษิณ” ที่ประกาศตัวด้วยการเชิดชู “หมอหงวน” ผู้เป็นต้นทาง “30 บาทรักษาทุกโรค” ผลงานตรึงใจผู้คนนิรันดร์กาล

นั่นย่อมหมายถึงการตอกย้ำภาพ พร้อมทดแทนผู้ที่ “อุ๊งอิ๊ง” เปิดออกมาว่า “ทักษิณ” ถือเป็นผู้มีพระคุณ นั่นคือ “ประชาชน”

การวางเกมของ “เพื่อไทย” รอบนี้แหลมคม แและทรงพลานุภาพในการทะลุทะลวงยิ่ง

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไรที่ “นักการเมืองผู้ช่ำชองสนามเลือกตั้งในพรรคพลังประชารัฐ”

จะเลือก “รับมือการเลือกตั้ง” ที่น่าจะหนักหนาสาหัส

มากกว่า “คุ้มครองตู่ให้อยู่ต่อ” ทั้งที่หาความแน่ใจอะไรไม่ได้เลยว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็น “จุดขาย” หรือ “จุดยี้”

สุชาติ ศรีสุวรรณ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image