ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 : แม้ไม่ผ่านก็น่าฟัง โดย นฤตย์ เสกธีระ [email protected]
วันที่ 16 พฤศจิกายน การประชุมรัฐสภาในวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนจะเริ่มขึ้น
จากนั้นรัฐสภาจะใช้เวลา 18 ชั่วโมง ในการอภิปราย
แล้ววันที่ 17 พฤศจิกายน ก็จะลงมติ
แต่ก่อนที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเข้าสู่การพิจารณา ได้มี ส.ว. และพรรคการเมืองแสดงความคิดเห็น
ส.ว.บางคนออกมาส่งสัญญาณว่า ไม่ผ่าน
พปชร.บางคนก็ออกมาส่งสัญญาณว่า ไม่ผ่าน
ถ้าเป็นไปตามนี้ แนวโน้มที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจะไม่ผ่านก็มีสูง
แต่แม้ว่าจะคาดเดาว่า ไม่ผ่าน ก็ยังน่าฟังการพิจารณา
ทั้งนี้ เพราะมีหลายประเด็นที่สมควรจะพูดกันในรัฐสภา
เมื่อตรวจสอบดูประเด็นสำคัญๆ ที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ประชาชน 135,247 คน เข้าชื่อกันเสนอ พบว่ามีสาระสำคัญน่าติดตามหลายประการ อาทิ
การปรับเปลี่ยนโครงสร้างรัฐสภา
จากเดิมมี 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ปรับให้เหลือเพียงสภาผู้แทนราษฎรเพียงสภาเดียว
หรือ การปรับโครงสร้างของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
โดยเสนอให้มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน มีที่มาจากการเสนอชื่อของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล 3 คน ส.ส.ฝ่ายค้าน 3 คน และที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา หรือศาลปกครองสูงสุด 3 คน แล้วให้สภาผู้แทนราษฎรเลือก
และบัญญัติห้ามศาลรัฐธรรมนูญกระทำการอันมีผลขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
หรือ การยกเลิกรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 แล้วกำหนดให้การแก้รัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 3 วาระ ไม่มี ส.ว.เข้ามาเกี่ยวข้อง
รวมทั้งการเพิ่มหมวดเรื่องการลบล้างผลพวงการรัฐประหาร วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ด้วย
โดยให้คำสั่ง คสช.และหัวหน้า คสช.มีผลเป็นโมฆะทั้งหมด
และเสนอปวงชนชาวไทยมีสิทธิและหน้าที่ต่อต้านการรัฐประหารล้มล้างรัฐธรรมนูญ
เป็นต้น
เรื่องเหล่านี้มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องอยู่นอกสภามาพักใหญ่ และมีการตอบโต้กันนอกสภามาพักใหญ่
ผู้ที่ตอบโต้กันฝ่ายหนึ่งก็คือ ผู้เสนอร่าง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นผู้ที่จะคว่ำร่างนี่แหละ
คราวนี้รัฐสภาเปิดโอกาสให้ทั้งฝ่ายเสนอ และฝ่ายคัดค้านมาเผชิญหน้ากันในสถานที่ที่จะใช้แสดงเหตุและผล
นำเอาเหตุและผลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาบอกเล่า
แล้วฟังคำอภิปรายโต้แย้งและสนับสนุน
จากนั้นก็เป็นการชี้แจงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทั้งสองฝ่าย
โดยมีประชาชนได้รับฟังเหตุและผลทั้งสองฝ่าย
ดังนั้น การประชุมรัฐสภาในวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จึงมีความหมาย
หมายถึงการใช้รัฐสภาเป็นเวทีพูดคุยกันในเรื่องที่เห็นต่าง
หมายถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับฟังเหตุและผล
หมายถึงการยุติความเห็นต่างด้วยวิถีทางประชาธิปไตย
ผลที่เกิดขึ้นอาจจะคล้ายๆ กับการซักฟอกรัฐบาล
นั่นคือดูเหมือนกับไม่มีอะไร แต่แท้จริงแล้ว มีอะไร
ดังนั้น 18 ชั่วโมง ของการอภิปราย จึงเป็นเวลาที่น่ารับฟัง