ที่เห็นและเป็นไป : ปรากฏการณ์‘มิ่งขวัญ’

ที่เห็นและเป็นไป : ปรากฏการณ์‘มิ่งขวัญ’

ที่เห็นและเป็นไป : ปรากฏการณ์‘มิ่งขวัญ’

“เพราะรัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้ ส.ส.ไม่ต้องทำตามมติพรรค ทุกคนอยากอยู่ตรงไหนก็อยู่ แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ทำให้เกิดศัพท์ขึ้นมาสองคำ คือคำว่างูเห่า และลิงกินกล้วย ถ้าพูดภาษาชาวบ้านว่าเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ผมเพิ่งเข้าใจคำสแลงนี้ชัดเจน วันนี้ผมขออภิปรายและไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ว่าท่านไปทำอะไร หรือให้ใครไปทำอะไร พวกเขาเหล่านั้นจึงเปลี่ยนจุดยืน สัญญาที่ผมให้ไว้กับประชาชนไม่สามารถทรยศได้ สองปีกว่าตนไม่มีความสุขกับการทำงาน”

คือคำกล่าวของ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ระหว่างอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ก่อนที่จะประกาศสละสมาชิกภาพ และยื่นใบลาออกจากการเป็น ส.ส.กลางที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร

คำถามหนึ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในใจของผู้รับรู้เรื่องราวนี้ โดยเฉพาะผู้ที่ชมชอบติดตามความเป็นไปทางการเมือง และนิยมคิดเพื่อมีความเห็นต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือ

Advertisement

“เราควรจะคิดอย่างไรกับการลาออกของนายมิ่งขวัญ”

อย่างน้อยควรจะตอบตัวเองว่าจะเลือกแสดงออกแบบไหนระหว่าง 2 ทางนี้

หนึ่ง เห็นว่าไม่มีอะไร แค่ ส.ส.คนหนึ่งที่อารมณ์เปราะบางในการทำหน้าที่ ลาออกไปให้คนอื่นมาแทน ไม่ได้มีความหมายอะไร

หรือแค่ปรากฏการณ์หิวแสงของคนปรารถนาตำนาน ไม่มีอะไรน่าสนใจให้คิดอะไรมากมาย

สอง มองลึกลงไปเห็นสิ่งที่นายมิ่งขวัญต้องการสื่อสาร และนำมาต่อยอดทบทวนเพื่อพัฒนาการเมืองการปกครองของประเทศให้เข้าที่เข้าทางของประชาธิปไตยที่ถูกครรลองของสากลโลก ไม่หลงอยู่กับที่ พยายามชี้นำให้เชื่อในความแปลกปลอมที่เรียกว่าแบบไทยๆ ซึ่งเอาเข้าจริงไม่รู้ว่าคืออะไร เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามสไตล์ “ตามใจ สบายๆ คือไทยแท้”

ในที่นี้เลือกจะแลกเปลี่ยนในมุมที่ 2 มองให้เกิดประโยชน์ในการนำการเมืองการปกครองของประเทศเรากลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยผ่านการลาออกจาก ส.ส.ของนายมิ่งขวัญ

ซึ่งในมุมนี้จำเป็นต้องย้อนไปที่การหากก่อกำเนิด ความสำเร็จ และความแปรเปลี่ยนของ “พรรคเศรษฐกิจใหม่”

ความสำเร็จของพรรคการเมืองจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มี มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ในฐานะหัวหน้าพรรค

เป็นความสำเร็จที่นายมิ่งขวัญใช้การยืนหยัดในประชาธิปไตยเป็นจุดขาย ยืนยันในการต่อต้านไม่ยอมให้เผด็จการสืบทอดอำนาจ

ด้วยท่าทีมั่นคงในอุดมการณ์และชี้ให้เห็นความเป็นไปไม่ได้ที่ประเทศจะพัฒนาไปสู่ความรุ่งเรืองได้ด้วยกลไก และบุคลากรที่ไม่ศรัทธาในสิทธิที่เท่าเทียมกันของประชาชน หรือความไร้ประสิทธิภาพของผู้นิยมใช้อำนาจบังคับให้เป็นอย่างใจมากกว่าการน้อมใจมารับฟังความเห็นที่แตกต่าง

ด้วยท่าทีคงมั่นและชัดเจนเช่นนี้ของนายมิ่งขวัญ ทำให้พรรคเศรษฐกิจใหม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็น ส.ส.หลายคน

แต่หากจะว่าไป ทุกเสียงที่ส่งทุกคนเข้ามาเป็น ส.ส.ในนามพรรคเศรษฐกิจใหม่ ล้วนแล้วแต่เป็นเสียงที่เลือกนายมิ่งขวัญ ไม่น่าจะผิดหากจะสรุปว่าไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย ไม่ว่าใครล้วนอาศัยศรัทธาที่ประชาชนมีต่อนายมิ่งขวัญอุ้มชูขึ้นมาเป็นผู้แทนราษฎร

ทุกคนเป็นผู้ที่ประชาชนมอบสิทธิในอำนาจให้เพราะเชื่อมั่นในจุดยืนที่นายมิ่งขวัญประกาศ

แต่แล้ว “รัฐธรรมนูญ” ที่เขียนขึ้นมาด้วยการเปิดทางให้ทำลายศรัทธาประชาชนต่อนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานนายมิ่งขวัญจนยับเยิน

นายมิ่งขวัญถูกเขี่ยลงจากเก้าอี้หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ โดย ส.ส.ที่ลงคะแนนเลือกไม่รู้ว่าเป็นใคร ต้องการพลิกมาสนับสนุนการสืบทอดอำนาจ

คนที่ประชาชนไม่เคยศรัทธาเหล่านั้นปล่อยให้นายมิ่งขวัญยืนโดดเดี่ยวรักษาจุดยืนฝ่ายประชาธิปไตยไว้ ท่ามกลางความกระหยิ่มยิ้มย่องกับชีวิตส่วนตัวที่ดีขึ้นโดยไม่รู้สึกถึงชะตากรรมของประเทศว่าจะเลวร้ายแค่ไหน

แน่นอน นายมิ่งขวัญยังเลือกที่จะเป็น ส.ส.ในจุดยืนที่มั่นคงนั้นได้

แต่ในวันนี้เขาเลือกลาออก

ทิ้งประโยชน์ส่วนตัว เพื่อให้คำถามที่มีต่อ “รัฐธรรมนูญ” และพฤติกรรมการใช้อำนาจชัดและเรียกให้ผู้คนมาสนใจมากขึ้น

ว่ากระบวนการทำลายศักดิ์ศรีของผู้ที่ประชาชนเลือกเข้ามาอย่างง่ายๆ เหล่านี้

ทำลายความเชื่อมั่นต่อประชาธิปไตยอย่างไร

คำสุดท้ายในฐานะ ส.ส.ของนายมิ่งขวัญมีหลายคำถามที่แหลมคมที่กระตุ้นให้ทุกคนหาคำตอบ

คำตอบที่ทุกคนจะมีส่วนรวมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงไปสู่ประเทศที่เป็นความหวังได้มากกว่า

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image