ที่เห็นและเป็นไป : คือเลือก ‘ชะตากรรม’

ที่เห็นและเป็นไป : คือเลือก ‘ชะตากรรม’

ที่เห็นและเป็นไป : คือเลือก ‘ชะตากรรม’

การเลือกตั้ง “ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร” ครั้งนี้ การหาเสียงของผู้สมัครแต่ละคนนั้นน่าสนใจ แต่ที่น่าสนใจว่าจะเป็นการตัดสินใจของประชาชนส่วนใหญ่ว่าจะเลือกแบบไหน

การหาเสียงต้องคึกคักแน่นอน ไม่ใช่เพียงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครห่างหายจาก “ด้วยการเลือกตั้ง” มา 9 ปี ซึ่งถือว่ายาวนานมาก แต่วันเลือกตั้งยังเป็นวันเดียวกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำรัฐประหาร ยึดอำนาจการบริหารประเทศจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และครองอำนาจมายาวนานจนถึงทุกวันนี้

ตลอดระยะเวลายาวนานนั้น กรุงเทพมหานครเป็นอย่างไร ประเทศไทยเราเป็นอย่างไร

Advertisement

เชื่อว่าทุกคนมีคำตอบอยู่ในใจ ไม่ใช่คำตอบที่ใครบอก หรือคิดเอาเอง แต่เป็นคำตอบที่เห็นตำตา สัมผัสเต็มๆ ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่

เชื่อว่าถึงตอนนี้ทุกคนย่อมรู้กันแล้วว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละคนเป็นใครมาจากไหน และแม้จะยังไม่รู้ หรือรู้จักไม่มาก นับจากนี้จนถึงวันที่ 22 พฤษภาคม วันลงคะแนน ทุกคนน่าจะรู้จักผู้สมัครแต่ละคนยิ่งขึ้น ทั้งการประสบพบเจอในการลงพื้นที่ขอคะแนนเสียง และการแสดงความรู้ ความคิดผ่านสื่อที่นับจากนี้จะต้องเสนอตัวให้เปรียบเทียบกันทั้งแบบ ดีเบต และไม่ดีเบตกันถี่ยิบ ตามการดำเนินการของสื่อที่หลากหลาย และกว้างขวางขึ้น

ประชาชนชาว กทม.จะรู้จัก และเห็นความรู้ ความสามารถของผู้สมัครแต่ละคน ทั้งในเชิงประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีต และวิสัยทัศน์ที่คาดหวังได้ในการสร้างอนาคต

Advertisement

การตัดสินใจเลือกใครของผู้มีสิทธิในกรุงเทพมหานครครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เป็นคำตอบว่า “กรุงเทพฯจะเป็นอย่างไร” แค่นั้น แค่จะเลยไปถึงการเป็นดัชนีชี้วัดด้วยว่า “ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร” ตามความคิดอ่านของประชาชนในปัจจุบัน

ที่เป็นเช่นนี้เพราะ สถานะของ “กรุงเทพฯ” นั้นคือ “เมืองหลวงของประเทศ”

ความหมาย “เมืองหลวง” สำหรับประเทศไทยเรานั้นยิ่งใหญ่ และลึกซึ้ง เนื่องจาก “เมืองหลวงเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง”

ความเป็นไปของเมืองอื่นๆ เป็นเงาสะท้อนของเมืองหลวง เพราะเมืองหลวงคือศูนย์กลางที่กำหนดทุกอย่าง ตั้งแต่การควบคุมโครงข่ายอำนาจ จนถึงค่านิยม วัฒนธรรม

ความเป็นไปของทั่วประเทศ เป็นเงาที่สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง

ดังนั้น การตัดสินใจเลือกคนแบบไหนเป็นผู้ว่าฯกทม.ของ “คนเมืองหลวง” จึงมีความสำคัญยิ่ง

อย่างที่บอก “9 ปีที่ผ่านมา” นั้นจัดเจนยิ่ง จนน่าจะเปรีบบเทียบได้แล้วว่า “คนแบบไหน” ที่มาที่ไปของ “ระบบการเมืองแบบใด” ส่งผลต่อความเป็นไปของประเทศ ต่อชีวิตของผู้คนแบบใด

ผู้ที่ลงรับสมัครให้ประชาชนตัดสินใจเลือก ล้วนเปิดเผยตัวเองล่อนจ้อนอยู่เบื้องหน้า ว่าเป็น “คนอย่างไร-ฝักใฝ่ระบอบคิดแบบไหน” หรือมีสติปัญญาอยู่จริงที่จะทำให้ชีวิตของประชาชนดีขึ้นตามคำที่พูดหรือไม่

น่าจะเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถเห็นได้ชัด แม้กระทั่งรู้ตั้งแต่วันนี้แล้วว่าใครเป็นอย่างไร

การหาเสียงที่เข้มข้นนับจากนี้ พร้อมๆ กันเกมการเมืองที่จะมีทั้งการสร้างสรรค์โชว์ความเหนือกว่าของตัวเอง และหาทางกีดกันทำลายคู่ต่อสู้ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นอีกมากมาย

แต่นั่นเป็นเพียงรายละเอียด และเล่ห์กลการเมือง ที่อาจจะทำให้ความคิดในการตัดสินใจหลุดไปจากกรอบที่ควรจะเป็นเท่านั้น

ในความเป็นจริงแล้วไม่มีอะไรสลับซับซ้อน

ที่ผ่านมาคนจำพวกไหนทำร้ายประเทศให้ยับเยินด้วยการสร้างความไม่ชอบธรรมของการอยู่ร่วมกัน

ผู้สมัครแต่ละคนยืนอยู่ข้างฝ่ายไหน

การเลือกเพื่อให้ได้ผู้ชนะเป็นเครื่องชี้วัด ว่ายืนหยัดในหนทางอำนาจประชาชน หรือเลือกเพื่อแสดงออกถึงการยอมจำนนที่ในสถานะกินน้ำใต้ศอกในโลกของความเหลื่อมล้ำ

ถึงเวลาที่ทุกคนจะตัดสินชะตากรรมของประเทศ ที่ส่งผลต่อชะตากรรมของตัวเอง

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image