ที่เห็นและเป็นไป : หรือเล่น‘หมากนอกกระดาน’

ที่เห็นและเป็นไป : หรือเล่น‘หมากนอกกระดาน’

ที่เห็นและเป็นไป : หรือเล่น‘หมากนอกกระดาน’

“ถ้าเป็น ส.ส.นั่งอยู่ในสภาแล้วจะรู้ว่าไม่ว่าจากพรรคใหญ่ พรรคเล็ก ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ไม่มีใครอยากให้ยุบสภา เพราะทุกคนรู้ว่าการเมืองขณะนี้ เลือกตั้งใหม่ คือการลงสนามแข่งขันที่ไม่คุ้มค่า ไม่ว่าจะเอาอะไรมาวัด สู้ยังนั่งอยู่ในสภา มีตำแหน่งมีงานทำอย่างนี้ไปก่อนให้นานที่สุดดีกว่า แน่นอนทุกคนต้องประกาศว่าพร้อมเลือกตั้งใหม่ แต่พร้อมไม่ใช่อยาก ไม่มีใครอยาก เพราะต่างรู้ดีว่า การเลือกตั้งใหม่เป็นความไม่คุ้มค่าสำหรับทุกฝ่าย ทุกคน”

นั่นเป็นข้อสรุปที่ได้จากการนั่งและพิเคราะห์ถ้อยความจากนักการเมือง ทั้งโดยผ่านน้ำเสียงที่ให้สัมภาษณ์ต่อสาธารณะ และที่ได้มีโอกาสพูดคุยเป็นการส่วนตัว

การต่อสู้เป็นเพียงโชว์ให้เห็นความเก่งกว่า ดีกว่า เหมาะสม และชอบธรรมกว่าของฝ่ายตัวเอง พร้อมๆ กับชี้ให้เห็นว่าด้อยคุณภาพ เลวทรามต่ำช้าของฝ่ายตรงกันข้าม ที่ไม่สมควรได้รับความชอบธรรม

Advertisement

ต่างฝ่ายต่างชี้ให้เห็นว่าอย่างไรเสียฝ่ายตัวเองก็ดีกว่า

แต่ที่สำคัญคือทั้ง 2 ฝ่ายต่างรู้ว่าอยู่กันไปอย่างนี้ก่อนดีที่สุด

เมืองไทยเป็นการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจระหว่างกลุ่มผู้ใช้อาวุธและกำลังเข้ายึดครอง กับฝ่ายที่อาศัยอำนาจที่ประชาชนมอบให้ผ่านการเป็นผู้ชนะเลือกตั้ง สู้กันมายาวนาน ผลัดกันครองอำนาจ พลิกไปพลิกมาหลายครั้ง

วันนี้ ฝ่ายที่ได้อำนาจมาด้วยการใช้อาวุธ และกำลังทำรัฐประหารเป็นผู้ครอบครองการบริหารประเทศต่อเนื่องยาวนาน จากการเขียนกติกาโครงสร้างอำนาจ และวางกลไกควบคุมอำนาจอย่างเข้มข้นเพื่อสืบทอดอำนาจจนเป็นผลสำเร็จ

พวกเขาและบริวารที่เสวยวาสนาความเป็นผู้เหนือกว่าเหล่านี้ ด้วยทัศนคติว่า นักการเมืองที่มาจากประชาชนนั้น ไม่ได้มีอุดมการณ์เพื่อประชาชนที่แท้จริง แต่เป็นนักธุรกิจการเมือง และมาเฟียท้องถิ่นสมคบกันใช้กลไกใช้การเลือกตั้งซึ่งเป็นกลไกของระบอบประชาธิปไตยเข้ามายึดอำนาจ

คนเหล่านี้มีความสามารถแค่เป็น “” ในความหมายที่ใช้ทุ่มทุน และมากเหลี่ยมเล่ห์ในการจัดการให้ได้คะแนนเสียงจากประชาชน

เมื่อมีอำนาจก็ใช้โอกาสแสวงหาผลประโยชน์จากอำนาจให้ตัวเองและพวกพ้อง สร้างความเสียหายให้ประเทศ จำเป็นที่ต้องหาทางกีดกันให้พ้นจากอำนาจ

และต้องสร้างกติกาและกลไกควบคุม ป้องกันไม่ให้กลับมามีอำนาจได้อีก

รวมทั้งถึงแม้ว่าจะกลับมามีอำนาจได้ แต่จะถูกกำจัดด้วยระบบที่อ้างว่าสร้างขึ้นเพื่อตรวจสอบเข้าจัดการอย่างเข้มข้น และเด็ดขาดตั้งแต่แค่ทำให้หมดโอกาสที่จะมีอำนาจ จนถึงต้องถูกโทษทัณฑ์ทั้งควบคุมเสรีภาพทุกรูปแบบ และยึดทรัพย์ ทำลายสมบัติที่จะใช้เป็นโอกาสกลับมามีอำนาจได้ จนถึงหาทางให้ออกนอกประเทศไป

แต่แม้ว่าความเชื่อมั่นที่จะคุมอำนาจต่อไปด้วยโครงสร้างกติกาและกลไกที่วางไว้มีสูงยิ่ง การเลือกตั้งก็ยังเป็นที่น่าหวาดหวั่น เพราะหมายถึงต้องเสี่ยงกับการต้องใช้กลวิธีที่ต้องด้านชากับการถูกก่นประณามว่าไร้ความชอบธรรมอย่างถูลู่ถูกังเพื่อโอกาสในการครอบครองอำนาจต่อไป

ดังนั้น ยืดเวลาเลือกตั้งให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงง่ายกว่าในการจัดการ

ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่โอกาสเดียวที่จะกลับมายึดครองอำนาจรัฐ คือ “การเลือกตั้ง” เชื่อมั่นว่าศรัทธาและการเข้าถึงประชาชนมากกว่าจะนำชัยชนะมาได้

แต่กระนั้นก็ตาม สำหรับผู้ที่คลุกคลีกับการเมืองมายาวนาน อ่อนไหวกับการไร้สถานะ หรือกระทั่งมีประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการใช้อำนาจการเมืองที่ชัดเจนมาตลอดเส้นทางว่ามีธรรมชาติตามที่บัญญัติไว้ในตำรา ว่า “โหดเหี้ยม หน้าด้าน ใจดำ” ขนาดไหน

ย่อมตระหนักดีกว่าสถานการณ์การเมืองไทยทุกวันนี้ ยากเย็นจะฝ่าด่านไปสู่อำนาจประชาชนอย่างแท้จริงตามที่เรียกร้อง

การเลือกตั้งในกติกาโครงสร้างอำนาจ และกลไกถูกวางไว้ให้สามารถปฏิบัติการอย่างเข้มข้นเพื่อสืบทอดอำนาจอย่างทรงประสิทธิภาพ

“ศรัทธาและการเข้าถึงประชาชน” อาจจะเป็นคำตอบของชัยชนะในพฤตินัย แต่ในทางนิตินัยที่ถูกออกแบบไว้ให้ตีความอย่างพิลึกพิลั่นได้เท่าที่อยากให้เป็นนั้น สามารถวัดกำลังว่าโอกาสในการครองอำนาจนั้นเอื้อต่อใครมากกว่า

ทุ่มเทต่อสู้สุดกำลังทั้งที่รู้ดีว่าโอกาสที่จะได้อำนาจริบหรี่

แถมดีไม่ดี หากสร้างความหวาดวิตกให้คู่ต่อสู้มากเกินไป จนฝ่ายตรงกันข้ามเกิดความกลัวจะสูญเสีย ไม่สามารถสืบทอดอำนาจต่อไปได้

แล้วตัดสินใจที่จะใช้การจัดการอย่างเข้มข้น เด็ดขาด แบบที่เคยทำมา

ผลจะยิ่งเลวร้ายไปใหญ่ โดยที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าไม่มีความหวังที่จะมีพลังใดมาช่วยเหลือได้

นั่นหมายถึงคำถามที่จะเกิดขึ้นในใจว่า “จะเร่งเลือกตั้งไปทำไป”

ทางออกของการจัดการอำนาจ บางทีอาจจะไม่ได้อยู่ที่ “การเลือกตั้ง”

สุชาติ ศรีสุวรรณ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image