ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
22 พฤษภาคม คือวันที่พรรคก้าวไกล นัดหมายพรรคพันธมิตร 7 พรรค เซ็นเอ็มโอยู จัดตั้งรัฐบาล
ที่เลือก 22 พฤษภาคม ก็ชัดเจนว่า ตั้งใจจะให้ตรงกับวาระ 9 ปี การรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557
เป็น 9 ปีอันยาวนาน กว่าที่ฝั่งฟากประชาธิปไตย จะเริ่มต้น “เปิดสวิตช์ประชาธิปไตย” อีกครั้ง
แต่ก็ยังมีภาวะแห่งความไม่แน่นอนสูงยิ่ง
เพราะ “สิ่งตกค้าง” จากการรัฐประหาร ยังคงมีพิษสง
สามารถพลิกสถานการณ์กลับไปสู่บรรยากาศของ 9 ปีที่ผ่านมาได้ตลอดเวลา
โดยสิ่งตกค้าง ที่พูดถึงกันมากในตอนนี้ ก็คือ พรรควุฒิสภา 250 เสียง ที่แม้จะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
แต่ก็อาจสามารถ ทำให้ฉันทามติของประชาชน ที่มอบให้พรรคก้าวไกล เป็น “ซุปเปอร์สีส้ม” เข้ามาเป็น “ซุปเปอร์การเปลี่ยนแปลง” สะดุดลงได้
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็ต้องถือเป็นความอัดอั้นตันใจของมวลหมู่ประชาชนอย่างมาก
เพราะประชาชนส่วนใหญ่ได้แสดงเจตนารมณ์ ต้องการให้ “ประชาธิปไตย” กลับคืนสู่ภาวะ “ปกติ” อย่างสงบ สันติ ผ่าน “บัตรเลือกตั้ง”
มิได้ใช้ “ปืน-รถถัง” มาหักชิง อย่างที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติทำขึ้นเมื่อ 9 ปีก่อน
หากแต่มากด้วยความ “เปิดกว้าง”
โดยเปิดโอกาสบุคคลและพรรค ที่สืบเนื่องมาจากการรัฐประหาร ให้สามารถเข้ามาแข่งขันในการเลือกตั้งได้อย่างเสรี เท่าเทียม
หรือมีแต้มต่อที่เหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ จากการเป็นรัฐบาลรักษาการ ที่กุมกลไกรัฐเอาไว้ในมืออย่างเต็มที่
แต่ประชาชนและพรรคขั้วฝ่ายค้านเดิม ก็ยอมรับในกฎกติกานั้น และเดินหน้าหาเสียงเพื่อขอการสนับสนุนจากประชาชนตามศักยภาพ
ซึ่งที่สุด พรรคขั้วฝ่ายค้านเดิม ก็สามารถกุมเสียงข้างมาก โดยตามหลักการพื้นฐานที่สุด ย่อมได้สิทธิจัดตั้งรัฐบาล ตามเจตนารมณ์ที่ประชาชนมอบให้นั้น
ขณะที่ฝ่ายที่พ่ายแพ้ คือขั้วรัฐบาลเดิม ก็ต้องยอมรับและเล่นบทบาทใหม่ คือฝ่ายค้านต่อไป
ส่วน 3 ป. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งเป็นแกนสำคัญในการรัฐประหาร เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 เมื่อรู้ผลการเลือกตั้งแล้ว จะทำอย่างไร คงว่าไปตามอัธยาศัย
ในเบื้องต้น พล.อ.อนุพงษ์ คงเลือกไม่ไปต่อ
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ถ้าจะตัดสินใจเดินหน้าทางการเมืองต่อ ก็ต้องไปสร้างพรรคที่ตนสังกัด ให้กลับมาได้ใจประชาชนอีกครั้ง
หรือหากเห็นว่า ผลการเลือกตั้ง ประชาชนได้ตัดสินแล้วว่า ไม่ต้องการให้ 3 ป.อยู่ในอำนาจต่อ ก็อาจจะถือโอกาส “วางมือ” จากการเมืองเลย ก็คงไม่มีใครขัดข้อง
ซึ่งอยากให้ข้อสังเกตสำคัญประการหนึ่ง ว่า ไม่ว่า 3 ป.จะเลือก “อนาคต” ของตนเองแบบไหน
ล้วนเป็นการเลือกได้โดยสมัครใจ
จะไปต่อ ก็ไปได้
หรือหากจะวางมือ ก็เป็นการวางมือแบบมี “บันได” มาทอดวางให้ก้าวเดินลงอย่างราบรื่น สงบ สันติ
ซึ่งนี่คือจุดเด่นอันสำคัญของ “ระบอบประชาธิปไตย”
ที่เมื่อมีการ “เปลี่ยนผ่าน” ก็จะพบว่ามีการเปิดหลายช่องทางให้เลือกเดินหรือเลือกไป
ไม่คับแคบ แตกหัก เหมือน การรัฐประหาร
ที่เมื่อเป็นฝ่ายตรงข้ามแล้ว จะไม่มีทางเลือก นอกจากถูกหักโค่นลง ในฐานะศัตรูเท่านั้น
นี่จึงถือเป็นคุณูปการของ “ประชาธิปไตย” ที่จะต้องตระหนักถึง
และเมื่อ ประชาชนแสดงเจตนารมณ์ “เปิดสวิตช์ประชาธิปไตย” หลังมืดมิดมาร่วมทศวรรษแล้ว
ทุกฝ่ายจึงควรเคารพและสนับสนุน
คำถามจึงพุ่งตรงไปถึง อดีตคณะรัฐประหาร และบุคคลหรือองค์กรที่สืบเนื่องจากรัฐประหาร อย่างวุฒิสภา “ลากตั้ง”
จะร่วม “เปิดสวิตช์ประชาธิปไตย” ด้วยการเคารพเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างไร!
สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร