ผู้เขียน | ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ |
---|
การประชุมภาคีสมาชิกสหประชาชาติภายใต้กรอบสนธิสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก สมัยประชุมที่ 28 หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ค็อป28” ซึ่งจัดขึ้นที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีกำหนดจะสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ธันวาคมนี้
หลังการประชุมเราคงได้รู้กันว่า มนุษย์เราจะดำเนินการแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงอะไรกันบ้าง เพื่อไม่ให้โลกร้อนขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
ก่อนที่จะไปถกกันถึงผลการประชุม เราลองพิจารณาข้อเท็จจริงบางอย่าง เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจให้ตรงกันว่า ทำไม กูรู ทั้งหลายถึงบอกว่าภาวะโลกร้อนนั้นอันตรายนัก
ภาวะโลกร้อน เป็นอันตรายต่อมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงคือ ทำให้อากาศร้อนขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อร่างกายมนุษย์ ทางอ้อมก็คือ อากาศที่ร้อนขึ้นดังกล่าว ส่งอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศโดยรอบตัวมนุษย์ให้เปลี่ยนแปลงไป และในที่สุดก็จะทำให้โลกไม่น่าอยู่ หรือกระทั่งอยู่ไม่ได้อีกต่อไป
ภาวะโลกร้อนที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม เราได้ยินกันมามาก ตั้งแต่เรื่องน้ำแข็งขั้วโลกละลาย, ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น บ่าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ, ก่อให้เกิดเชื้อโรคใหม่ๆ หรือทำให้เชื้อโรคเก่าที่มีอยู่แต่เดิมเปลี่ยนแปลง ขยายตัว ร้ายแรงมากยิ่งขึ้น, ทำให้เกิดภาวะอากาศแบบสุดโต่ง เช่น พายุ ฝน ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลันหรือภาวะแล้งจัด ฯลฯ
แล้วอิทธิพลโดยตรงที่ส่งผลต่อตัวคน ร่างกายคนเราเล่าจะเป็นอย่างไรกัน?
ในสหรัฐอเมริกา สำนักงานสิ่งแวดล้อม (อีพีเอ) เขาเก็บสถิติเอาไว้ แสดงให้เห็นว่า ในช่วงระหว่างปี 1979 จนถึงปี 2018 มีผู้เสียชีวิตจากการที่ภูมิอากาศร้อนขึ้นโดยตรงถึง 11,000 ราย แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า จำนวนจริงๆ ต้องมีมากกว่านั้น เพราะมีการเสียชีวิตอีกไม่น้อยที่ไม่ได้ถูกระบุว่า ความร้อนเป็นสาเหตุ ทั้งๆ ที่เป็นเช่นนั้นในความเป็นจริง
อุณหภูมิที่สูงขึ้นมากๆ ส่งผลต่อร่างกายคนได้หลายอย่าง และมีไม่น้อยที่ความร้อนจากอากาศ หรือแดด ที่สูงขึ้นและทรงตัวอยู่สูงมากเช่นนั้น อาจก่อให้เกิดอาการต่างๆ ที่รุนแรงถึงตายได้
ตัวอย่างเช่น อาการที่ในทางการแพทย์เรียกว่า “ภาวะเพลียแดด” (Heat exhaustion) และ “ภาวะฉุกเฉินจากความร้อน” (heat stroke) ล้วนเป็นอาการป่วยร้ายแรง ที่สามารถทำให้คนตายได้ด้วยตัวมันเอง
ความร้อนสามารถเป็นปัจจัยที่ทำให้อาการของโรคบางอย่างรุนแรงหรือขยายตัวมากขึ้น โรคในกลุ่มที่รุนแรงหรือลุกลามมากขึ้นจากความร้อนนี้ ที่เห็นชัดเจนก็คือ กลุ่มโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด(cardiovascular diseases) ที่ก่อให้เกิดอาการ “สโตรก” หรือ “หัวใจวาย” ได้ เป็นต้น
ความร้อนเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์โดยตรงได้ เพราะร่างกายของคนเราเต็มไปด้วยน้ำ ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องมีน้ำอยู่ในระดับที่แน่นอนระดับหนึ่งแล้วก็มีอุณหภูมิที่แน่นอนด้วยเช่นกัน ร่างกายเรารับเอาอิทธิพลความร้อนจากอากาศรอบตัวผ่านทางการสัมผัสที่ผิวหนังและการหายใจเอาอากาศเข้าไป ร่างกายของเราควบคุมความสมดุลของน้ำและอุณหภูมิภายในได้ โดยอากาศการหลั่งเหงื่อออกมา เพื่อทำให้ร่างกายเย็นลง
ในกรณีที่อากาศร้อนมากๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นอากาศแห้งๆ แล้วร้อนมากจะยิ่งร้ายแรงมากขึ้น) เราเสียน้ำไปมากจนสมดุลของน้ำในร่างกายสูญเสียไป ยิ่งเราเสียน้ำจากการหลั่งเหงื่อไปเร็วมาก การเสียสมดุลของน้ำในร่างกายจะเกิดขึ้นเร็วมากขึ้นเท่านั้น ร่างกายไม่สามารถหาทดแทนได้ทัน จะเกิดภาวะ “ขาดน้ำ” (dehydration) ที่ตามมาก็คืออุณหภูมิภายในร่างกายของเราจะสูงขึ้น
อวัยวะของคนเรา รวมถึงเซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะสามารถทำงานได้ก็ต่อเมื่อน้ำในร่างกายอยู่ในภาวะสมดุลเท่านั้น หากไม่มีน้ำในร่างกายเพียงพอ ปริมาณเลือดจะลดลงซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายโดยตรง ยิ่งขาดน้ำมาก ก็จะขาดเลือดมาก อวัยวะจะได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่ก็หยุดการทำงาน เซลล์ในร่างกายมนุษย์ก็จะตายลงเช่นเดียวกัน การไหลเวียนของเลือดในร่างกายผิดปกติไป ทำให้อวัยวะต่างๆ ไม่ได้รับออกซิเจนซึ่งเปรียบเสมือน “เชื้อเพลิง” ในการทำงานของอวัยวะเหล่านี้ที่ถูกส่งไปกับกระแสเลือดเพียงพอ ก็ไม่สามารถทำงานต่อไปได้นั่นเอง
การไหลเวียนของกระแสเลือดยังส่งผลต่ออุณหภูมิในร่างกายด้วยเช่นกัน หากการไหลเวียนไม่คล่อง หรือติดขัด ก็เหมือนกับเครื่องยนต์ขาดน้ำมันหล่อลื่น ตัวเครื่องยนต์จะร้อนขึ้น ร่างกายก็เช่นเดียวกัน
มีรายงานการศึกษาวิจัยเมื่อปี 2021 ระบุเอาไว้ว่า ร่างกายมนุษย์โดยเฉลี่ยแล้วทนรับความร้อนจากอากาศภายนอกร่างกายได้จำกัด กล่าวคือ อยู่ระหว่าง 40-50 องศาเซลเซียสเท่านั้น โดยที่อุณหภูมิราว 32 องศาเซลเซียส ร่างกายจะเริ่มหลั่งเหงื่อออกมาแล้ว
ส่วนอุณหภูมิภายในร่างกายนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ทางการแพทย์ประเมินว่า แค่เพียงอุณหภูมิภายในร่างกายของคนเราสูงถึง 42 องศาเซลเซียส สมองก็จะเริ่มเสียหายให้เห็นแล้ว
เกินจากระดับนั้นไป คนคนนั้นพร้อมที่จะเสียชีวิตได้ตลอดเวลาครับ