‘ทรัมป์’ เข้าทำเนียบขาวรอบ 2 แนวโน้มสูง สถานการณ์อำนวย สัญญาณเป็นเลิศ ‘Project 2025’ เรียกแขกสุดประเสริฐ

‘ทรัมป์’เข้าทำเนียบขาวรอบ 2 แนวโน้มสูง
สถานการณ์อำนวย สัญญาณเป็นเลิศ
‘Project 2025’เรียกแขกสุดประเสริฐ

ต้องยอมรับว่าการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังมาแรง รอฟังข่าวกันอย่างใจจดใจจ่อ เพราะอยากทราบว่า หาก “ทรัมป์” ได้รับเลือก จะมีผลกระทบต่อสหรัฐตลอดจนทั่วโลกหรือไม่ประการใด จึงได้แต่รอ และรอด้วยความกังวล

ภายใต้การนำและจัดการของมูลนิธิเฮอริเทจสหรัฐ (The Heritage Foundation) ได้จัดทำหนังสือชื่อ “Project 2025” โดยได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ส่วนหนึ่งสอดคล้องกับ “ทรัมป์ 2.0” โดยตรง ซึ่งเปี่ยมด้วยความลึกลับ สังคมจึงอยากเห็นแนวนโยบายของทรัมป์ เพราะประธานาธิบดีสหรัฐมิได้เกี่ยวข้องเฉพาะสหรัฐ หากเกี่ยวกับประเทศทั่วโลก

อัน Project 2025 คืออำนาจสุดขั้วของสหรัฐ เป็นพิมพ์เขียวการปกครองประเทศ หนึ่งในนั้นคือสนับสนุนความรุนแรง แม้ทรัมป์ปฏิเสธไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับแผนการดังกล่าว ทว่าคนข้างกายคือที่ปรึกษาด้านนโยบายและผู้จัดตั้งรัฐบาลที่ยอดนิยม ได้มีส่วนร่วมและวางแผนเกี่ยวกับร่าง “Project 2025” อันเป็นการฉายภาพให้เห็นถึงอำนาจขวาสุดของสหรัฐที่ตอบสนอง “ทรัมป์ 2.0” ถ้าแม้ทรัมป์รับเอาบางส่วนของแผนการที่สอดคล้องกับความชอบของตนมาใช้ ก็อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ทางการเมืองทั้งภายในและภายนอก

Advertisement

การประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกัน ทรัมป์นอกจากเล่าเหตุการณ์ถูกลอบสังหาร ยังได้เสนอแนวนโยบาย เช่น การควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และให้คำมั่นหลังรับตำแหน่งจะทำการลดภาษี

ตัดกลับไปเมื่อตอนต้นปี ทรัมป์ประกาศว่า หากได้รับเลือกจะพิจารณาปรับขึ้นภาษีการนำเข้าสินค้าจากจีน 60 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นจริงก็อาจเป็นเหตุให้ความเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนลดลง

Advertisement

ทว่า ย้อนคิดอดีตเมื่อปี 2018 พลันที่สงครามการค้าจีน-สหรัฐเกิดขึ้น แม้เศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบอย่างกะทันหัน แต่จีนก็ยังยืนเด่นอย่างท้าทาย

การที่สหรัฐเปิดสงครามการค้า แท้จริงก็คือทำลายผู้อื่น ไม่เกิดประโยชน์แก่ประเทศตน พฤติกรรมดังกล่าว ไม่ต่างไปจากการเอามือตบลูกบอล แรงตบมากแรงต้านยิ่งมาก

หากกล่าวกับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ กระทบแน่ แต่ไม่ว่าสหรัฐจะดำเนินในรูปแบบใด จีนก็มีวิธีรับมือแน่นอน อดีตเป็นการพิสูจน์ถึงความสามารถของจีน สงครามการค้าดำรงอยู่ถึง 6 ปี จีนรับศึกได้โดยไม่เหนือบ่ากว่าแรง สหรัฐจะมาตั้งสมมุติฐานว่าจีนไม่สามารถรับศึกได้นั้น เหตุผลจึงฟังไม่ขึ้น

ถ้าหาก โดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสเข้าประจำทำเนียบขาวเป็นสมัยที่ 2 และภายใต้ “ทรัมป์ 2.0” การเมืองภายในและการทูตของสหรัฐจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใด เป็นประเด็นที่โลกภายนอกกำลังสนใจ

ที่น่าสนใจคือพลังฝ่ายขวาสหรัฐ ตั้งแต่อดีตไม่เคยใช้สคริปต์เดิมๆ กระแสการเมืองของฝ่ายอนุรักษนิยมมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนแนวทางไปตามสมัย เช่น เมื่อต้นศตวรรษ ครั้งที่ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ขึ้นแท่นรับตำแหน่ง พลังแห่งอำนาจลัทธิอนุรักษนิยมใหม่ (neoconservatism) ได้รับการตอบสนอง โดยการบุกรุกอิรัก เป็นการแสดงพลังให้โลกรับรู้ แต่การโจมตีอิรักเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ในตะวันออกกลาง

บัดนี้ คุณค่าอันโดดเด่นเป็นสากลของลัทธิอนุรักษนิยมใหม่นั้น ได้หมดสมัยลงแล้ว เพราะเวลาเปลี่ยนไป สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป และที่สำคัญคือ ห่างไกลกับข้อเสนอของทรัมป์ที่ว่า America First เมื่อปีที่แล้วทรัมป์ยืนยันว่า หลังจากที่ทำการปรับเปลี่ยนแนวนโยบายของเขาแล้ว ลัทธิฝ่ายอนุรักษนิยมใหม่ไม่สามารถเป็นผู้นำพรรครีพับลิกันอีกต่อไป

บัดนี้ พรรครีพับลิกันได้ถูกอุ้มด้วยประชานิยมฝ่ายขวา และลัทธิชาตินิยมคริสเตียน และโดยการนำของมูลนิธิเฮอริเทจคือ “Project 2025” สามารถกล่าวได้ว่า คือพลังฝ่ายอนุรักษนิยมขวาจัดได้รวบรวมข้อเสนอต่อประธานาธิบดีสมัยหน้าอย่างแจ่มชัด น่าจะเรียกว่า สารบัญวิสัยทัศน์

เอกสาร “Project 2025” มีความหนากว่า 900 หน้า ร่วมกันจัดทำโดยฝ่ายอนุรักษนิยม ประมาณ 50 กลุ่ม ข้อเสนอส่วนใหญ่ประกอบด้วยตรรกะแห่งลัทธิอนุรักษนิยมฝ่ายขวา บวกเข้ากับเจตนารมณ์ของทรัมป์บางส่วนโดยการแปลงเป็นทฤษฎีและระบบ อันเป็นการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับตัวของทรัมป์เอง ยกตัวอย่างเช่น สมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีได้เน้นย้ำอยู่เสมอว่า มี “อำนาจมืด” (deep state) ทำการควบคุมประเทศและรัฐบาล เพื่อต้องการล้มล้างอำนาจของเขา ทั้งนี้ ไม่ว่าทำเนียบรัฐบาล ไม่ว่ากระทรวงยุติธรรม ตลอดจนสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ทุกที่ทุกแห่งล้วนมีอำนาจมืดทำการแทรกแซง ซึ่งทรัมป์ป่าวประกาศตั้งแต่ต้นปีที่แล้วว่า ถ้าเขาได้รับเลือก จักต้องทำการควบคุม Fed และกระทรวงยุติธรรมอย่างเข้มงวดกวดขัน เพื่อกำจัดบรรดาอำนาจมืด

หากกล่าวกับ “Project 2025” หนึ่งในนั้นมีข้อเสนอให้ทำการปรับขนาดใหญ่สำหรับรัฐบาลกลาง เพิ่มอำนาจประธานาธิบดี บรรดาข้าราชการและลูกจ้างของรัฐบาลกลาง รวมทั้งกระทรวงยุติธรรม เอฟบีไอและกรมอัยการ เป็นจำนวนนับหมื่นคนนั้น ให้ถือเป็นข้าราชการที่ได้รับ “การมอบหมายทางการเมือง” (political assignment) กรณีเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจในการให้คุณให้โทษ คือมีสิทธิให้ข้าราชการผู้หนึ่งผู้ใดออกจากงานได้ทันที และในทำนองเดียวกันก็มีอำนาจในการแต่งตั้งคนที่มีความซื่อสัตย์ต่อตนเข้าปฏิบัติหน้าที่แทนตามอำเภอใจ

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอของ “Project 2025” ให้ยกเลิกหน่วยงานของรัฐบาลกลางบางแห่ง ซึ่งหมายความรวมถึงกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งกล่าวหากระทรวงศึกษาธิการว่า โฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับความคิดของฝ่ายเสรีนิยม ด้วยการอบรมสั่งสอนนักเรียนในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น เรื่องชาติพันธุ์ เพศ และความคิดทางการเมือง ซึ่งเป็นความเห็นที่เหมือนกับทรัมป์โดยบังเอิญ

ปฏิเสธมิได้ว่าสหรัฐมีความแตกแยกมากขึ้นทุกขณะ สงครามทางวัฒนธรรมนับวันรุนแรง เสมือนน้ำกับไฟเข้ากันไม่ได้ ศรศิลป์ไม่กินกัน และถึงจุดเลวร้ายที่สุด เรียมเหลือทนแล้วนั่น

อนึ่ง ความรุนแรงของโครงการ 2025 เป็นสัญญาณบ่งบอกในเชิงสัญลักษณ์ว่า ปีกขวาของฝ่ายอนุรักษนิยมเตรียมพร้อมโดยการรวมพลังเพื่อทำการสกัดบรรดาแรงต้าน เพื่อเปลี่ยนรูปโฉมของสังคมสหรัฐโดยรวม และก็ตรงกับความคิดของทรัมป์พอดีและโดยบังเอิญ

จึงไม่แปลกที่ประธานมูลนิธิเฮอริเทจนาม Kevin Roberts ขนานนามการปรับเปลี่ยนใหม่ของสังคม ครั้งนี้ว่า “การปฏิวัติสหรัฐครั้งที่ 2” ทั้งนี้ ก็เพราะอเมริกันชนมีความประสงค์ทวงคืนอำนาจจากผู้รากมากดีและบรรดาข้าราชการ เพื่อถวิลหาความสงบสุขของสังคม จึงมิใช่เรื่องที่ไม่มีเหตุผล

หากจะกล่าวกับทรัมป์ เขาเป็นเจ้าของแห่งลัทธิฉวยโอกาส ที่มีความละอ่อนในการปกครองประเทศ รู้เพียงผลประโยชน์ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นการยากที่จะให้เขาปฏิบัติชนิดเต็มตามอินวอยซ์ ทรัมป์ดูคนเป็น อ่านคนออก เป็นต้นว่า การเลือกตั้งปี 2016 เขารู้จักเอาใจคนระดับใช้แรงงาน เพราะทรัมป์อ่านทะลุว่าพวกเขาเหล่านั้นสามารถ “อุ้ม” เขาให้เข้าทำเนียบขาว

ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ เขาก็ตีบทแตกเช่นกัน กล่าวคือบรรดาศาสนิกชนชาวคริสเตียนน่าจะเป็นพลังสำคัญที่จะจูงเขาเข้าทำเนียบขาวได้ เพราะกระแสของชาวคริสต์ต้องการให้สหรัฐอเมริกากลายเป็น “ประเทศศาสนาคริสต์” อย่างแท้จริงนั้น กำลังมาแรง แรงเพราะประสงค์ให้บรรลุพระราชประสงค์และพระราชปณิธานของพระบรมศาสดาแห่งศาสนาคริสเตียน

เนื่องจากอดีตที่ผันผ่าน ทรัมป์เป็นคนที่หย่อนยานในด้านจริยธรรม จึงยังไม่เป็นที่สนใจของชาวคริสเตียน แต่การเลือกตั้งคราวนี้ บรรดาผู้นับถือสักการะในลัทธิชาตินิยมคริสเตียนเห็นว่า ทรัมป์คือผู้ที่ปกป้องทัศนคติแห่งอนุรักษนิยม จึงหวังว่าทรัมป์ไม่เพียง “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง” (Make America Great Again) หากยังมีความสามารถในการ “ทำให้อเมริกาเลื่อมใสองค์พระศาสดาอีกครั้ง” (Make America Godly Again)

ดังนั้น “ทรัมป์ 2.0” นอกจากทุ่มสุดตัวกับการเอาใจใส่ต่อชนชั้นระดับใช้แรงงาน และมั่นใจว่าทรัมป์จะต้องยอมรับทัศนคติเกี่ยวกับลัทธิชาตินิยมคริสเตียนมากขึ้น และยิ่งเชื่อมั่นว่าความเข้มข้นแห่งลัทธิอนุรักษนิยมของสหรัฐจักต้องเพิ่มขึ้น และดำเนินควบคู่ไปพร้อมกับวิวัฒนาการทางศาสนาเป็นแน่แท้

พิเคราะห์โดยละเอียดแล้วเห็นว่า ถ้าหากไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง การที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับเข้าทำเนียบขาวอีกวาระหนึ่ง ซึ่งเป็นสมัยที่ 2 ก็มิใช่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image