ภาวนามยปัญญา : โดย ประสิทธิ์ พฤกษาจารสิริ

ภาวนามยปัญญา

การเรียนรู้ในทางพระพุทธศาสนามีอยู่ด้วยกัน 3 ประการคือ 1 สุตมยปัญญา เป็นความรู้จากการฟัง การอ่าน 2 จินตามยปัญญา เป็นความรู้จากการนึก การคิด การค้นคว้าวิจัยต่างๆ 3 ภาวนามยปัญญา เป็นความรู้เกี่ยวกับการสัมผัสทางด้านจิตวิญญาณ เป็นการฝึกสติ ฝึกการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกขณะปฏิบัติสมาธิภาวนา อันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งเห็นจริงในทางพระพุทธศาสนา อันเป็นความรู้และประสบการณ์ที่อยู่คนละมิติกับความรู้ข้างต้น

หากแยกประเภทความรู้ทั้งหลายออกเป็นความรู้ทางโลกกับความรู้ทางธรรม เฉพาะการฟังและการคิดเท่านั้นที่เป็นความรู้ที่จำเป็นต่อการพัฒนาสติปัญญาเพื่อประโยชน์และความเจริญก้าวหน้าในทางโลก การฟังและการคิดจะช่วยเราในการนำความรู้ไปใช้เพื่อการประกอบอาชีพและทำมาหากินเพื่อสร้างฐานะ สร้างครอบครัวและพัฒนาประเทศชาติ

ปุถุชนผู้ปรารถนาความมั่งคั่งร่ำรวยจึงต้องขวนขวายศึกษาหาความรู้จากการฟังและการคิด ความรู้ที่ได้จากสุตมยปัญญาและจินตามยปัญญาจึงเพียงพอที่จะช่วยนำพาชีวิตของเขาไปสู่ความสำเร็จในทางโลก โดยบุคคลผู้นั้นไม่จำต้องศึกษาหาความรู้ในทางธรรม ไม่จำต้องแสวงหาประสบการณ์ด้านในของจิตวิญญาณ ไม่จำต้องเรียนรู้การฝึกสติและไม่ต้องปฏิบัติสมาธิภาวนาใดๆ ทั้งสิ้น

Advertisement

ผู้คนส่วนใหญ่วาดหวังไว้แต่การแสวงหาทรัพย์สินเงินทองและชื่อเสียงเกียรติยศ พวกเขาไม่ใส่ใจในเรื่องการสัมผัสรับรู้ทางจิตวิญญาณ ไม่ต้องการเรียนรู้อารมณ์กรรมฐานและไม่สนใจกับความสงบสุขทางด้านจิตใจจากการปฏิบัติสมาธิภาวนา พวกเขาคิดว่าความรู้เกี่ยวกับสัมมาสติ สัมมาสมาธิในทางพระพุทธศาสนาและประสบการณ์เกี่ยวกับการสัมผัสใกล้ชิดกับดวงจิตนั้น เป็นกิจธุระเฉพาะของพวกนักพรต นักบวชและโยคีเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเข้าใจว่าชีวิตของพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เกี่ยวกับการเจริญสติ เจริญสมาธิ และไม่มีความจำเป็นใดๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ความจริงแท้ของกายสังขารนี้ อันเป็นเพียงซากอสุภะอันเน่าเหม็นที่ต้องฝึกพิจารณาดูด้วยตาใน ไม่อาจดูด้วยตาเนื้อ ทั้งนี้ด้วยวิธีผ่านการปฏิบัติทางวิปัสสนากรรมฐาน

ความเข้าใจดังกล่าวจึงนับเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของชาวพุทธ เพราะชีวิตนี้ไม่ใช่มีแต่เฉพาะเรื่องของโภคทรัพย์และการปรนเปรอความสุขทางกามเท่านั้น อีกทั้งความโลภ โกรธ หลง ยังเป็นเหตุทำให้ปุถุชนทั้งหลายต่างมุ่งหวังแต่การเก็บสะสมเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่งร่ำรวยของเขา พวกเขาจึงมองข้ามความมีอยู่จริงของดวงจิตดวงนี้และละเลยต่อความรู้และการสัมผัสด้านในของจิตวิญญาณ พวกเขาไม่ตื่นรู้และไม่ตระหนักในเรื่องของกรรมดีกรรมชั่วและวิบากกรรมทั้งหลายที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ พวกเขาจึงไม่ใส่ใจในเรื่องของสมาธิภาวนา

Advertisement

ผู้ใฝ่ฝันความร่ำรวยและการมีชื่อเสียงจึงไม่ต้องการเรียนรู้การฝึกสติ ไม่ใส่ใจกับการภาวนา ไม่ปรารถนาที่จะสัมผัสและหยั่งถึงความสุขสงบอย่างแท้จริงที่มีอยู่ภายในลมหายใจ พวกเขาสนใจแต่เรื่องการปรนเปรอความสุขทางกามยิ่งกว่าการฝึกสติและการเรียนรู้อารมณ์กรรมฐาน พวกเขาสนใจแต่เพียงการแสวงหารสแห่งกามคุณยิ่งกว่าการฝึกอานาปานสติและการตามดูลมหายใจเข้าออก อันเป็นความรู้ที่จะนำความสุขสงบและการหนีห่างจากกามคุณทั้งหลายให้แก่ชาวพุทธได้ดีและประเสริฐยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองและเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น

ความรู้จากสมาธิภาวนายังช่วยผู้ปฏิบัติได้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับภพชาติและการเกิดใหม่ ช่วยผู้ปฏิบัติให้หันเหจิตใจเข้าสู่การปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้น ให้ใส่ใจต่อการปฏิบัติทาน ศีล ภาวนามากขึ้น ลำพังแต่การแสวงหาแต่ทรัพย์สินเงินทองมีแต่จะทำให้จิตใจไหลตกต่ำและมีผลกระทบในทางเสียหายต่อจิตวิญญาณ ต่อภพชาติ และการเกิดของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของภพชาติและการเกิดใหม่เป็นเรื่องที่ผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนาทั้งหลายต่างให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ความรู้จากการฟังและการคิดล้วนแต่เป็นเรื่องการส่งจิตออกนอก ส่งจิตออกไปสู่เรื่องราวต่างๆ มากมายที่อยู่นอกตัวเรา เป็นเหตุทำให้จิตใจของเราฟุ้งซ่าน วิตก กังวล และเป็นทุกข์ ความรู้ในทางโลกจึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการเรียนรู้การดำรงอยู่ของจิตวิญญาณที่มีอยู่ภายในกายของเราแต่ละคน ความรู้ทางโลกไม่อาจทำให้ชาวพุทธก้าวไปสู่การฝึกจิตฝึกกรรมฐานเพื่อพิจารณาซากอสุภะ

ที่มีอยู่ในร่างกายของเรา การฝึกกรรมฐานและการได้สัมผัสกับดวงจิตจึงมีผลดีต่อการลดทอนความกำหนัด ลดทอนกามราคะและตัดขาดจากอกุศลมูลทั้งปวงอันได้แก่ความโลภ โกรธ หลงลงได้ในที่สุด
ความรู้จากภาวนามยปัญญาจึงเป็นการเรียนรู้ในภาคปฏิบัติอันเกี่ยวกับการฝึกความเพียร ฝึกสติ ฝึกสมาธิเพื่อให้จิตบริสุทธิ์ผ่องใส การปฏิบัติสมาธิภาวนาจึงเป็นเรื่องของการไม่ส่งจิตออกนอก ไม่ส่งจิตออกไปสู่เรื่องราวต่างๆ เหมือนอย่างความรู้จากการฟังและการคิด จิตจะกำหนดรู้อยู่แต่ภายในกายของเรา อยู่แต่ภายในลมหายใจของเรา ให้จิตได้ตามกำหนดรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ให้จิตได้ตามกำหนดรู้และพิจารณาความสกปรกเน่าเหม็นของกายนี้

ภาวนามยปัญญาจึงเป็นการปฏิบัติที่กระทำต่อจิตโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น เรื่องของจิตจึงเป็นมิติอีกมิติหนึ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเรื่องของกาย ความรู้และประสบการณ์จากสมาธิภาวนาที่ส่งผ่านเข้าสู่จิตจึงเป็นความรู้ที่หนักแน่น ลุ่มลึกและติดตรึงยาวนานยิ่งกว่าความรู้ที่ส่งผ่านสายตา ผ่านหู หรือผ่านเข้าสู่สมอง

สิ่งที่จดจำไว้ในสมองจึงมีโอกาสลืมเลือน จางหายและเสื่อมคลายเมื่อกาลเวลาผ่านไป แต่ความรู้ที่ซึมลึกเข้าสู่จิตวิญญาณจะเป็นสิ่งที่ไม่ลืมเลือน ไม่เสื่อมคลายจางหาย แต่จะติดยึดฝังแน่นเข้าสู่สายเลือด ซึมลึกเข้าสู่ธาตุขันธ์ เข้าสู่โครงกระดูกและเจตสิกของผู้นั้นตลอดไป

ดังเช่นการดูรูปภาพซากศพคนตายที่เผยให้เห็นความน่าเกลียดน่ากลัว แม้จะดูภาพนั้นนานเท่าใดก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ความจำได้และการระลึกรู้ในรูปภาพนั้นจะเสื่อมคลายเลือนหายไป แม้ขณะแรก การระลึกรู้ที่มีต่อรูปภาพนั้นจะช่วยลดทอนความกำหนัดได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป ความกำหนัดและกามราคะนั้นจะเผยอตัวและเผยตนออกมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยการระลึกรู้ในรูปภาพนั้นไม่อาจช่วยทัดทานและดึงรั้งความกำหนัดของเราให้ลดน้อยถอยลงได้

ลําพังการจดจำและการนึกคิดโดยใช้สมองและรูปภาพจึงเป็นเพียงมิติทางกายที่ไม่อาจมีพลังอำนาจเพียงพอที่จะลดทอนและกำราบความกำหนัดและกามราคะซึ่งไม่ได้มาจากสมอง แต่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณอันเป็นสภาวะที่อยู่ในอีกมิติหนึ่งที่แตกต่างจากมิติของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

การต่อสู้ทัดทานกับความกำหนัดและกามราคะที่ฝังแน่นอยู่ในจิตอันเป็นศัตรูน่าเกรงขามและโหมกระหน่ำโจมตีเราอยู่ทุกขณะจิตนั้น จึงจำเป็นต้องใช้พลังอำนาจที่อยู่ในมิติเดียวกับมิติของจิตวิญญาณเพื่อการควบคุมและลดทอนความกำหนัดและกามราคะนั้น ดังนั้นจึงมีแต่พลังแห่งกรรมฐานที่เกิดจากสมาธิภาวนาที่อยู่ในมิติเดียวกับมิติของจิตวิญญาณเท่านั้นที่มีอำนาจเพียงพอที่จะขัดเกลาจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ได้ จิตที่ได้รับการขัดเกลาจากพลังของสมาธิภาวนาแล้วจะแสดงออกด้วยการลดละและหนีห่างออกจากกามราคะและความกำหนัดทั้งปวงได้

การตัดขาดจากความกำหนัดด้วยปัญญาแห่งกรรมฐานจึงไม่ใช่เป็นการตัดขาดเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนอย่างการใช้วิธีดูรูปภาพซากศพคนตาย ความรู้แจ้งเห็นจริงที่ได้จากสมาธิภาวนาจะปรับเปลี่ยนระดับภูมิธรรมด้านจิตใจของผู้ปฏิบัติให้สูงขึ้นและประณีตยิ่งขึ้น ความบริสุทธิ์ของดวงจิตที่ได้จากกรรมฐานจะทำให้ผู้ปฏิบัติรู้สึกเบื่อหน่ายต่อราคะตัณหาและกามวิตกทั้งปวง

สภาวธรรมที่นำไปสู่การลดทอนราคะตัณหาเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากการกดข่มหรือบีบรั้งเอาไว้เหมือนอย่างการใช้วิธีดูรูปภาพเพื่อใช้ภาพนั้นไปกดข่มอารมณ์แห่งกาม การกดข่มโดยใช้รูปภาพจึงแตกต่างจากการสร้างดวงจิตที่บริสุทธิ์ขึ้นใหม่จากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

จิตวิญญาณที่ปรับเปลี่ยนไปสู่ระดับภูมิธรรมที่สูงขึ้นจากสมาธิภาวนาจะติดตรึงและอยู่กับผู้ปฏิบัติตลอดไป ดวงจิตที่ได้รับการขัดเกลาจากกรรมฐานจะช่วยทำให้ภพชาติของเขาทั้งในภพชาตินี้และภพชาติต่อๆ ไปบริสุทธิ์ สะอาด และสงบยิ่งขึ้น การปฏิบัติสมาธิภาวนาจึงมีความสำคัญต่อชาวพุทธเป็นอย่างมากและมีผลอันประเสริฐยิ่งต่อภพชาติและการเกิดใหม่อันประณีตของชาวพุทธทุกท่าน

สังคมที่มีแต่การแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นและเอาเปรียบกันอย่างรุนแรงด้วยการใช้ความรู้ที่มาจากสมองจึงมีแต่ทำให้ผู้คนเคร่งเครียด วุ่นวาย ล้มป่วย และหาความสุขสงบในชีวิตไม่ได้เลย นอกจากความรู้ทางโลกแล้ว การปฏิบัติสมาธิภาวนาและการใช้ภูมิธรรมทางจิตจะช่วยให้ชาวพุทธทั้งหลายมีธรรมะในจิตใจสูงขึ้น มีความรักความเมตตาต่อกันยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้สังคมทั้งมวลอยู่กันอย่างร่มเย็น มีแต่ความสันติสุขทั่วกันพร้อมหน้า

ภาวนามยปัญญาจึงเป็นองค์ความรู้อันสำคัญยิ่งที่ชาวพุทธทั้งหลายไม่อาจละเลยได้

ประสิทธิ์ พฤกษาจารสิริ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image