ผู้เขียน | สมลักษณ์ จัดกระบวนพล |
---|
** บทความ โดย สมลักษณ์ จัดกระบวนพล อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการ ป.ป.ช. เผยแพร่ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ประจำวันที่ 2 ธันวาคม 2560 **
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 68 บัญญัติว่า “รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ให้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร
วรรคสอง รัฐพึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรมให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำใดๆ
วรรคสาม รัฐพึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่จำเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้ หรือผู้ด้อยโอกาส ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมตลอดถึงการจัดหาทนายความให้”
สาระสำคัญของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรานี้ก็เพื่อจะให้ความคุ้มครองประชาชนคนไทย ให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และรัฐจะต้องคุ้มครองเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมให้ปฏิบัติหน้าที่ไปโดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำ กระบวนการยุติธรรมนั้นคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานอัยการ และศาลหรือผู้พิพากษานั้นเอง
คงจะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า คดีที่เรียกกันว่าคดี 99 ศพนั้น บังเกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2553 พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เป็นโจทก์ฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (เลขาธิการ กปปส.) อดีตรองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฐานผู้ร่วมกันก่อหรือให้ผู้อื่นกระทำการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมาย มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 84 ที่ศาลอาญา ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยสาระสำคัญของคำวินิจฉัยของศาล คือ
“ศาลเห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่ทำการใช้อาวุธจริง และกระสุนจริงยิงใส่ผู้ชุมนุม เพื่อผลักดันการชุมนุม หรือสลายการชุมนุมหรือกระชับพื้นที่ หรือขอคืนพื้นที่ตามที่โจทก์ฟ้องมานั้น ล้วนแต่จากการออกคำสั่งของจำเลยทั้งสองในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง ผอ.ศอฉ. ….. หลังจากมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความขัดแย้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั้งสิ้น กรณีไม่ได้เป็นการกระทำโดยส่วนตัว หรือนอกเหนือของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์คัดค้าน”
ความหมายของคำวินิจฉัยของศาลก็คือ จำเลยทั้งสองกระทำการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มิได้กระทำการตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 84 ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงอยู่ในอำนาจการไต่สวนของกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งผู้เขียนเคยเขียนบทความแสดงความเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่า กระทำความผิดกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท หมายความว่า โจทก์ฟ้องว่า การกระทำของจำเลยนอกจากจะผิดตามมาตรา 157 แล้วยังมีความผิดตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 84 ด้วย ซึ่งกรณีนี้หากศาลฟังพยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดจริง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 บัญญัติว่า ศาลจะต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 84 ซึ่งเป็นบทหนัก แต่คำวินิจฉัยของศาลอาญาเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำในหน้าที่ หมายความว่า เป็นกรรมเดียวคือตาม มาตรา 157 ซึ่งต้องไปฟ้องที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือยกฟ้องเรื่องเขตอำนาจศาล แล้วยังวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83, 84 โดยไม่มีการสืบพยานในข้อหาดังกล่าวแต่อย่างใด
ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์คดีนี้ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 โจทก์ยื่นฎีกา ศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 (คดี 4288-4289/2560) โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมทั้งสองมิได้ฟ้องจำเลยทั้งสองในฐานะส่วนตัว จึงเป็นการดำเนินคดีแก่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ….. และเป็นการกระทำกรรมเดียวกันตามที่ฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง
ในสำนวนที่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา (ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 83, 84) ซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญกำหนดขั้นตอนการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีประเภทนี้ไว้โดยเฉพาะแตกต่างไปจากการดำเนินคดีอาญาทั่วไป โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ไต่สวนข้อเท็จจริง และสรุปสำนวนพร้อมทำความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
หากมีมติว่ากรณีมีมูล ให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช.ส่งรายงาน เอกสาร และพยานหลักฐานพร้อมทั้งความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดี …… และให้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รับพิจารณาพิพากษาคดีอาญาสำหรับการกระทำอันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และบทใดบทหนึ่งอยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยให้รับพิจารณาพิพากษาข้อหาความผิดบทอื่นตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาฐานเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดข้อหาฆ่าคนตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83, 84 ไว้ด้วย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 250(2) และ 275 วรรคหนึ่ง ซึ่งใช้บังคับขณะเกิดเหตุ และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 19(2), 66 วรรคหนึ่ง, 70 กับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาตรา 9(1), 10, 11 และ 24 ซึ่งใช้บังคับขณะเกิดเหตุ …..
เมื่อคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้นศาลอาญาจึงไม่มีอำนาจพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนนี้ปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลชั้นต้นชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิจารณายืนตามศาลชั้นต้นนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์และโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน”
ความหมายของคำพิพากษาศาลฎีกา ก็คือ
1.คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่ากระทำความผิดกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท
2.ขณะที่จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ ประเทศไทยใช้รัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2550 ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ คือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มิใช่ศาลอาญา ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 250(2) และ 275 ซึ่งใช้บังคับอยู่ขณะเกิดเหตุ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีอำนาจในการไต่สวน ไม่ใช่พนักงานไต่สวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
3.ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีอำนาจพิจารณาพิพากษา การกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท และบทใดบทหนึ่งอยู่ในอำนาจของศาล ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาตรา 24
4.ศาลยังมิได้วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองผิดหรือไม่ เพราะศาลฎีกายกฟ้องเฉพาะข้อกฎหมายว่าโจทก์ฟ้องผิดศาลจึงต้องไปฟ้องที่ศาลที่มีเขตอำนาจ ซึ่งจะต้องมีการฟังพยานหลักฐาน แล้วจึงจะมีคำวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดในคดีนี้หรือไม่ สังคมจึงไม่ควรวิตกว่าคดีนี้จะจบไปเพราะคำพิพากษายกฟ้องของศาลฎีกาในคดีนี้
ก่อนศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาให้โจทก์ไปฟ้องคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ดังกล่าวข้างต้นแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ไต่สวนจำเลยทั้งสองในข้อกล่าวหาตามมาตรา 157 และในที่สุดได้สรุปสำนวนเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ข้อหาจำเลยทั้งสองตามมาตรา 157 ตกไป จึงไม่มีคดีที่ขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด ดังนั้นแม้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยให้อยู่ในอำนาจไต่สวนของกรรมการ ป.ป.ช.ก็ตาม แต่ก็จะมีปัญหาดังต่อไปนี้
1.คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีอำนาจไต่สวนเฉพาะคดีตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 19 แต่ไม่มีอำนาจไต่สวนคดี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 และ 84
2.การฟ้องคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ ความรับผิดตามมาตรา 157 เมื่อความผิดตามมาตรานี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้เรื่องตกไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2558 เมื่อไม่มีคดีดังกล่าวอยู่ในศาล โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 และ 84 ซึ่งเป็นความผิดบทอื่นที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มาตรา 24 วรรคหนึ่ง
3.โจทก์หรือโจทก์ร่วมจึงจำเป็นต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 86(1) คือต้องยื่นพยานหลักฐานใหม่ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งคดี
4.พยานหลักฐานใหม่ จะเป็นสาระสำคัญแก่คดีหรือไม่ อยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะพิจารณา
5.หากกรรมการ ป.ป.ช.ไม่รับหรือยกคำกล่าวหาตามข้อ 4 โจทก์หรือผู้เสียหายยังมีหนทางที่จะยื่นคำร้องต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อขอให้ตั้งผู้ไต่สวนอิสระตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 276 วรรค 5 ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนแล้วเห็นว่าไม่มีมูลความผิดตามข้อกล่าวหา
เนื่องจากการที่โจทก์หรือโจทก์ร่วมจะดำเนินการฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 และ 84 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้จำเป็นต้องมีการฟ้องคดีตามมาตรา 157 เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติ มาตรา 24 กระบวนการจึงอยู่ในอำนาจของกรรมการ ป.ป.ช.ที่จะต้องเร่งพิจารณาคำร้องให้เป็นไปตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2542 มาตรา 86(1) หรือไม่ หากเจ้าหน้าที่ของรัฐเฉยเมยไม่เร่งรีบในการดำเนินการในกรณีนี้ ไม่ว่าในขั้นตอนใด ก็อาจถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 อันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ และยังเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อีกด้วย
ผู้เขียนยังมีความเห็นว่า หากศาลอาญามีคำสั่งรับฟ้องคดีนี้ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 และ 84 ไว้เสียตั้งแต่แรก หรือศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ศาลอาญารับคดีนี้โดยกลับคำพิพากษาศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ ก็ไม่น่าจะขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของนักการเมือง มาตรา 24 แต่อย่างใด เพราะขณะที่ศาลอาญามีคำสั่งรับฟ้องยังไม่ได้มีการฟ้องคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และถ้ามีการอื่นขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ยกคำกล่าวหาขึ้นพิจารณาเพราะมีพยานหลักฐานใหม่ซึ่งเป็นสาระสำคัญแก่คดีและสรุปสำนวนชี้มูลจำเลยแล้วส่งให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีต่อศาลองค์คณะผู้พิพากษาก็มีอำนาจแจ้งให้ศาลอาญาที่รับฟ้องคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 และ 84 โอนคดีไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือศาลอาญาจะขอโอนคดีดังกล่าวไปเองก็ได้
ทั้งนี้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 24 วรรคสอง
คดีนี้เป็นคดีสำคัญ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าผู้ดำรงตำแหน่งสูงฝ่ายบริหาร ฝ่ายข้าราชการทหาร (ตามคำวินิจฉัยของศาลในคดีไต่สวนชันสูตรพลิกศพ นายพัน คำกอง และ 6 ศพในวัดปทุมวนาราม) ตลอดจนฝ่ายตุลาการ หากมิได้กระทำให้แจ้งชัด โดยนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ตามคำพิพากษาของศาลโดยด่วนแล้ว ก็จะนำไปสู่ปัญหาสำคัญที่ขัดขวางต่อการปฏิรูปประเทศ และกระบวนการปรองดองตามนโยบายของรัฐบาล คดีนี้เกิดตั้งแต่ พ.ศ.2553 นับถึงวันนี้เวลาล่วงเลยมานานถึง 7, 8 ปี วิญญาณของผู้เสียชีวิตทั้ง 99 ศพ ซึ่งมีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ตลอดจนครอบครัวของเขาเหล่านั้นยังเฝ้ารอและทวงถามถึงความยุติธรรมที่พวกเขาสมควรได้รับ ดังนั้นหากท่านผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้ทั้งหมด โดยเฉพาะผู้บริหารประเทศไม่เห็นแก่หน้าพวกพ้องและปฏิบัติหน้าที่ของท่านไปอย่างเที่ยงตรง ยุติธรรม ไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจใดๆ แล้ว นอกจากจะไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ยังจะเป็นการอนุเคราะห์แก่ดวงวิญญาณทั้ง 99 ศพ ให้ไปสู่สุคติ อันจะเป็นกุศลผลบุญบังเกิดแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ตลอดจนครอบครัวทั้งในภพนี้และภพหน้า
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีกระแสรับสั่งในการถวายรายงานของรัฐบาล เมื่อช่วงค่ำวันที่ 7 สิงหาคม 2560 มีส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมไว้ในข้อ 7 ตามคำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรี คือ รับสั่งในเรื่องการดูแลประชาชนให้ความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ทุกอย่างทรงขอว่าให้เป็นไปตามขั้นตอนตามกฎหมายทุกประการ ให้มีหลักฐานที่ชัดเจน ให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น และไว้วางใจในกระบวนการยุติธรรมให้ได้
ดังนั้น ผู้มีอำนาจจึงสมควรพิจารณากระแสรับสั่งนี้ให้ดีเพราะมักจะมีการกล่าวถึงเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบันเสมอ แต่ความจงรักภักดีดังกล่าวจะเห็นได้จากการกระทำ หาใช่เพียงแค่คำพูดไม่