วีรพงษ์ รามางกูร : พรรคอนาคตใหม่

ขอแสดงความยินดีกับการประกาศเปิดตัวของพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งได้กระทำไปเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2561 และอาจจะถือว่าเป็นวันที่พรรคอนาคตใหม่ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้น เป็นการให้กำเนิดใหม่แก่วงการการเมืองของประเทศไทย

ที่ยินดีและชื่นชมก็เพราะพรรคอนาคตใหม่นี้ แกนนำพรรคเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงทั้งสิ้น น่าจะเป็นความหวังอันเจิดจรัสของการเมืองไทย เท่าที่คุยกับพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ไม่ใช่คนประเภท “แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน” หลายคน ทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญทางการเมืองของแกนนำพรรคใหม่แห่งนี้กันอย่างล้นหลาม

ที่ชื่นชมก็เพราะ อันดับแรกเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ที่ประกาศต่อต้าน “เผด็จการทหาร” ที่แสนจะล้าหลัง ไม่ก้าวหน้า ไม่สร้างสรรค์ อยู่ในอำนาจเด็ดขาดมากว่า 4 ปีแล้วแต่ไม่มีผลงานอะไรที่โดดเด่นเท่าเทียมกับรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งด้วยกัน เช่น รัฐบาลของนายอานันท์ ปันยารชุน หรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เช่น รัฐบาลของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ส่วนที่ตนเองคุยโตโอ้อวดว่าเป็นรัฐบาลที่โปร่งใสสะอาด ปราศจากคอร์รัปชั่น ก็ไม่แน่เสียแล้วว่าจริงหรือไม่ เพียงแต่ยังไม่มีใครกล้าขุดคุ้ย เพราะองค์กรอิสระต่างก็สงบเสงี่ยม เพราะคณะรัฐประหารสามารถใช้มาตรา 44 ปกป้องตัวเอง ไม่สามารถตรวจสอบได้ หากมีคนตรวจสอบก็ไม่แน่นักว่าเรื่องที่กล่าวอยู่ทุกวันศุกร์จะเป็นความจริง

Advertisement

ระบอบเผด็จการทหารนั้นปกครองประชาชนด้วยความกลัว ความกลัวของประชาชนนั้นเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันไม่ติดของประชาชน ถ้าประชาชนสามารถรวมตัวกันได้เป็นพันเป็นหมื่น ความกลัวก็จะย้ายข้างจากประชาชนไปอยู่ที่รัฐบาล การใช้ “ตีนช้างมาเหยียบปากมด” ก็จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป ถ้าพรรคอนาคตใหม่จะใช้วาทกรรมของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ว่า “กูไม่กลัวมึง” ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลก

ข้อเสนอของพรรคอนาคตใหม่ ที่จะ “ฉีก” หรือแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ก็เป็นเรื่องที่ชอบธรรม เพราะรัฐธรรมนูญที่คณะเผด็จการทหารหยิบยื่นให้ย่อมไม่มีความชอบธรรมเสียแล้ว แต่เนื่องจากการใช้คำว่าฉีกหรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับนั้น วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่อาจจะถูกรัฐบาลเผด็จการจับไปเล่นคำเอาผิด เพราะไม่ว่าจะดำเนินการเพื่อนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ก็จะถูกรัฐบาลเผด็จการข่มขู่ว่าจะใช้กฎหมายที่ตนตราขึ้นเองเล่นงาน

เมื่อทำการปฏิวัติรัฐประหารใหม่ๆ คนก็อาจจะเกรงกลัว เพราะมีคนไทยจำนวนหนึ่งสนับสนุนระบอบเผด็จการ พรรคการเมืองเก่าแก่ที่เคยต่อต้านระบอบเผด็จการทหารก็เปลี่ยนไปหลังจากได้รับเชิญให้เข้าร่วมรัฐบาลในค่ายทหาร คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อเห็นว่าตนไม่อาจจะชนะการเลือกตั้งได้ เป็นการปูทางให้ทหารทำการปฏิวัติรัฐประหารในรอบแรกเมื่อปี 2549 คงจะแก้ตัวลำบาก

Advertisement

เมื่อผู้นำพรรคอนาคตใหม่ประกาศเรียกร้องให้ประชาชนเลิกกลัวเผด็จการทหาร ไม่รับนายกรัฐมนตรีคนนอก ต่อต้านการถ่ายทอดอำนาจจากการเป็นรัฐบาลเผด็จการโดยการใช้อาวุธทำการรัฐประหาร มาเป็นรัฐบาลเผด็จการโดยการเลือกตั้ง ใช้ความได้เปรียบต่างๆ ที่ตนมี ทั้งอาวุธ ทั้งอำนาจและเงินจากนายทุนอยู่ในมือ ก็เป็นเรื่องที่ต้องสนับสนุนและชื่นชม ไม่ใช่แสดงความขัดเคืองหาว่าพรรคอนาคตใหม่ล้ำเส้น ยังไม่เข้าใจว่าเส้นอะไร ใครเป็นผู้ขีดเส้น

การเปิดตัวพรรคอนาคตใหม่อย่างห้าวหาญฮึกเหิม ประกาศนโยบายหลักคือการเอาคืนอำนาจอธิปไตยที่ประชาชนถูกยึดไปโดยกองทัพ กล่าวคือการแก้รัฐธรรมนูญปัจจุบันทั้งฉบับแล้วร่างใหม่ ขัดขวางต่อต้านการต่อท่ออำนาจเผด็จการโดยขบวนการเลือกตั้งที่ตนได้เปรียบ พรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งไม่ว่าจะมีคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรจำนวนเท่าใดก็ฉีกรัฐธรรมนูญไม่ได้ ทำได้แค่แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ผู้ที่จะฉีกรัฐธรรมนูญได้ก็มีแต่หัวหน้าคณะปฏิวัติรัฐประหารเท่านั้น การฉีกรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งเลวร้ายล้าหลังและทำลายการพัฒนาการเมืองและสังคมของประเทศ ความเสียหายดังกล่าวถ้าตีราคาออกมาเป็นบาทเป็นสตางค์ก็จะมีมูลค่ามหาศาล มากกว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือคอร์รัปชั่นมากมายนัก แต่ผู้คนไม่ตระหนัก

หลายคนเป็นห่วงและคิดว่าจะไปแย่งที่พรรคการเมืองที่มีอยู่เดิม เช่น พรรคเพื่อไทยในเขตภาคอีสานและภาคเหนือ พรรคชาติไทยพัฒนาในภาคกลาง และพรรคประชาธิปัตย์ในกรุงเทพฯและภาคใต้ได้ ความกังวลดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ควรห่วง แต่เมื่อมีเหตุการณ์ขัดจังหวะขบวนการประชาธิปไตย หรือเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง

เมื่อมีการเลือกตั้งก็มักจะเห็นปรากฏการณ์ที่ไม่คาดฝันเสมอ เช่น เมื่อพรรคไทยรักไทยเปิดตัวครั้งแรก เป็นต้น เพราะผู้มีสิทธิอออกเสียงในกรุงเทพฯและภาคกลางมักจะเปลี่ยนใจได้เสมอ ดังจะเห็นได้จากผลการเลือกตั้งกับผลการหยั่งเสียงก่อนการเลือกตั้ง และผลของการสุ่มตัวอย่างจากผู้ที่ออกจากคูหาเลือกตั้ง หรือ exit poll มักจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเสมอ

ความอิดหนาระอาใจของประชาชนจำนวนมากที่เห็นแล้วว่า พรรคเพื่อไทยมีความผิดอย่างใหญ่หลวงที่ไม่อาจจะรักษาประชาธิปไตยไว้ได้ นโยบายที่ผิดพลาด เช่น นโยบาย “จำนำข้าวทุกเมล็ด” นำมาซึ่งความเสียหายต่อการเงินการคลังของประเทศ ตั้งงบประมาณทยอยใช้หนี้ไป 20 ปี โดยผลประโยชน์ส่วนใหญ่ได้กับโรงสีและผู้ส่งออกที่เป็นพรรคพวกของรัฐบาลในยุคนั้น ความผิดอย่างใหญ่หลวงที่ไม่มีใครรับได้ที่ถือเป็นการเชื้อเชิญให้มีการทำปฏิวัติรัฐประหาร คือการเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สุดท้ายปฏิเสธไม่ได้ว่าความฮึกเหิมของผู้นำพรรคในขณะนั้นทำให้เกิดเชื้อในการทำรัฐประหาร

ขณะเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ประจักษ์ชัดว่าทำงานไม่เป็นเมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐบาลถึง 2 ครั้ง 2 คราว ถ้าไม่นับสมัยหลังกรณี 14 ตุลาคม 2516 ไม่เคยมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน อีกทั้งยังปฏิเสธการเลือกตั้ง ให้เหตุผลทางการเมืองระบอบรัฐสภาแบบผิดๆ ชนิดที่ผู้มีการศึกษาที่ไม่ต้องจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่างมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดก็รับไม่ได้ เช่น การทรยศต่อหลักการประชาธิปไตยอย่างตรงไปตรงมา ทั้งๆ ที่เป็นพรรคของ “เจ้าหลักการ”

เมื่อมีคนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งที่ละความหวาดกลัว ออกมาประกาศนโยบายสวนระบอบการปกครอง ปลุกกระแสร่วมล้างความหวาดกลัว ไม่เอารัฐธรรมนูญที่ร่างโดยรัฐบาลเผด็จการทหาร ต่อต้านการวางแผนต่อท่ออำนาจของกลุ่มทหารนักการเมืองที่จะใช้การเลือกตั้งบังหน้าเพื่อยึดครองการอยู่ในอำนาจต่อไป เมื่อได้เป็นรัฐบาลก็จะแก้กฎหมายเพื่อลดอำนาจทหาร ให้การเมืองไทยมีการพัฒนา ให้มีความเป็นอารยะ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยเสียที

เมื่อมีกลุ่มคนที่กล้าหาญชาญชัยกล้าออกมาประกาศ ออกมาพูดแทนประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยตัวจริง ที่ถูกยึดอำนาจไปสถาปนาตัวเองเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชน โดยใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่มีการตรวจสอบ ไม่ต้องรับผิดชอบกับใคร เพราะยึดระบบอำนาจบริหารและนิติบัญญัติไว้ในมือ

เคยมีความหวังอย่างมากเมื่อพรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนหัวหน้าพรรคจากคนเดิม มาเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่มีการศึกษา เจริญเติบโตขึ้นในประเทศที่เป็นแม่บททางระบอบการเมืองแบบรัฐสภา คุ้นเคยกับสังคมประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ ภราดรภาพและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ได้รับการรับรองไม่แพ้ประเทศใดในโลก

ในที่สุดก็ต้องผิดหวัง เพราะเพื่อประโยชน์ของตนเองจึงยอมทิ้งหลักการ ปฏิเสธประชาธิปไตย คว่ำบาตรการเลือกตั้ง เพราะแน่ใจว่าตนจะแพ้เลือกตั้ง หันไปสนับสนุนรัฐบาลทหาร เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดตั้ง กปปส.ที่มีทหารอยู่เบื้องหลัง เพื่อปูทางไปสู่การปฏิวัติรัฐประหาร โดยอาศัยวาทกรรมความเกลียดชังฝ่ายตรงกันข้ามปลุกกระแสให้มีอารมณ์ร่วมดังกล่าว

เมื่อพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้น ไม่นานนักก็คงจะเป็นคู่ต่อสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมีพื้นที่เป้าหมายคือคนรุ่นใหม่คนในเมืองด้วยกัน ไม่ช้าก็คงจะถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกใส่ความว่าเป็นเด็ก ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้ความสามารถ ทั้งๆ ที่ทุกคนก็มีอายุเกินประธานาธิบดีฝรั่งเศส อายุเกินนายกรัฐมนตรีของหลายประเทศในอดีต รวมทั้งผู้นำของประเทศไทยที่สร้างกระแสประชาธิปไตยมาแล้วทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ในช่วงหนึ่งคนมีอายุก็ถูกกระแส “ไดโนเสาร์ เต่าล้านปี” ต่อต้าน แต่เมื่อมีคนรุ่นใหม่เสนอตัวเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่นอกจากพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ สลายความหวาดกลัวรัฐบาลอำนาจนิยม ที่พยายามต่อท่ออำนาจโดยให้ “คนนอก” เป็นนายกรัฐมนตรีได้ ลดอำนาจกองทัพในทางการเมือง ก็รู้สึกหวาดหวั่นว่ากลุ่มชนชั้นของตนจะเสียอำนาจ เริ่มมีปฏิกิริยาในทางลบในเชิงต่อต้าน

การเสนอตัวเข้ามาเป็นนักการเมืองในเมืองไทยนั้น นอกจากจะลำบากแล้วยังมีอันตรายอีกด้วย เพราะอำนาจของรัฐไทยนั้นมีความเป็นอิสระจากรัฐสภา จากคณะรัฐมนตรีและรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระทั้งหลายมีความอิสระที่จะวินิจฉัยกรณีต่างๆ ตามอุดมการณ์ของตน แม้ว่าเราจะพูดอยู่เสมอว่าประเทศเราปกครองโดยกฎหมาย เป็นนิติรัฐ ซึ่งไม่เป็นความจริง

ขณะเดียวกันผู้นำเดินขบวน “ปิดกรุงเทพฯ” ปิดสถานที่ราชการ จนภิกษุผู้ร่วมงานถูกศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ต้องนอนในคุก ก็ประกาศตั้งพรรคด้วยน้ำตานองหน้าเสมือน “น้ำตาจระเข้” ประกาศตั้งพรรคโดยมีผู้ร่วมอุดมการณ์จากกลุ่ม “ชนชั้นสูง” ที่เคยประกาศว่าชนชั้นตนเท่านั้นที่ควรมีส่วนร่วมในทางการเมือง ทึกทักเอาว่าชนชั้นตนเท่านั้นเป็นผู้เสียภาษี ชนชั้นล่างชาวนากรรมกรไม่ควรมีสิทธิในทางการเมืองเพราะไม่ใช่ชนชั้นผู้เสียภาษี ซึ่งเป็นความคิดที่ตั้งอยู่บนความ “โง่เขลา” ignorance หรืออคติ bias ของ “คนชั้นสูง”

คนเหล่านี้คงจะแยกตัวออกจากพรรคประชาธิปัตย์ แล้วมาตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทยอย่างหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่เคยให้สัญญากับปวงมหาประชาชนว่าตนจะไม่เล่นการเมือง ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ตั้งพรรคการเมือง ขออวยพรให้ประสบความสำเร็จ

จนบัดนี้กว่า 85 ปีที่เราได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แผ่นดินประเทศไทยก็ยังวนเวียนอยู่กับรัฐบาลเผด็จการทหาร หรือรัฐบาลที่สืบทอดมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร โดยการยึดอำนาจมาจากประชาชน เป็นรัฐบาลของทหาร โดยทหาร และเพื่อทหารมาโดยตลอด

เราประชาชนเป็นเพียงคนดู

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image