ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ |
---|
สัปดาห์ที่แล้ววงเสวนาการเมืองที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เชิญนักการเมืองระดับแกนนำพรรคมาโชว์ไอเดีย
ทั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และ นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป
คำคมคำเด็ดที่สื่อนำมาพาดหัวคือข้อเสนอให้พ้นจาก “กับดัก”
ข้อเสนอนั่นคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และคำสั่ง คสช. เพราะเกิดขึ้นในยุค คสช.
ขณะที่นายไพบูลย์เพียงคนเดียวในวงเสวนาที่มองแตกต่าง
นายไพบูลย์เสนอให้ทนใช้ไปอีก 5 ปีแล้วจะรู้สึกชิน
การเปิดวงเสวนากันได้เช่นนี้ บวกกับเหตุการณ์อีกหลายเหตุการณ์ในจังหวะเดียวกัน
ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชวนไปเลือกตั้ง ทั้ง นายวิษณุ เครืองงาม นั่งเป็นประธานกรุยทางสู่เลือกตั้ง
ส่งสัญญาณชัดว่า การเลือกตั้งตามโรดแมปมีโอกาส
ยิ่งสดับฟังข่าวทั้งบนดินและใต้ดินของพรรคการเมืองที่กำลังระดมพลหาขุมกำลัง
ยิ่งมีความมั่นใจว่า การเลือกตั้งกำลังใกล้เข้ามา
เพียงแต่ พอได้ยินวิธีการระดมขุมกำลังแล้ว หัวใจที่น่าจะพองโต กลับห่อเหี่ยว
ข่าวดังว่า คือ ข่าวการใช้ทุกวิธีการเพื่อให้ได้พวกที่พรรคเชื่อว่ามีเปรียบในสนามเลือกตั้ง
กลุ่มที่มีเปรียบบนสนามเลือกตั้งหนีไม่พ้นนักการเมือง
ยิ่งเป็นนักการเมืองในพื้นที่ เป็นนักการเมืองที่อยู่มานาน มีประวัติเคยได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนอย่างท่วมท้นยิ่งดี
เพราะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เขานับทุกแต้ม พรรคไหนได้แต้มมากที่สุดได้เปรียบ
เพราะทุกแต้มที่รวมกันหมายถึงจำนวน ส.ส.ในสภา
เมื่อกติกากำหนดดังนี้ พรรคการเมืองจึงไปตระเวนหา และมีการกระทบกระทั่งกัน ซึ่งเป็นเรื่องไม่แปลก
แต่ที่แปลกใจคือ การใช้วิธีการที่ไม่เลือกว่าจะเป็นวิธีที่ถูกหรือผิดในการแย่ง ส.ส.นี่สิ
เพราะก่อนหน้านี้ทุกคนกล่าวหาโจมตีนักการเมืองว่าโกง
เลือกตั้งก็โกงการเลือกตั้ง พอไปเป็นรัฐบาลก็โกงกินสารพัด
จึงมีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปการเมือง โดย คสช.เข้ายึดอำนาจ แล้วดำเนินเปลี่ยนแปลง
คสช.ใช้เวลา 4 ปี ในการเปลี่ยนแปลง และกำลังจะกลับไปเลือกตั้ง
แต่ขณะนี้ปรากฏข่าวว่า มีการใช้เรื่องร้องเรียนที่ ส.ส. หรือนักการเมืองท้องถิ่น โดนกล่าวหาเป็นเครื่องต่อรอง
มาอยู่เป็นพวกก็รอด ถ้าไม่ยอมเป็นพวกก็ร่วง ข่าวดังกล่าวนี้ จริงเท็จประการใด
ยังมีข่าวอีกว่า มีการเสนอเงินจำนวนหลายสิบล้านบาท อาทิ 30 ล้านบาท สำหรับ ส.ส.ที่ได้รับการทาบทาม
เพียงแค่ตัดสินใจไปอยู่ด้วยก็รับเงินจำนวนดังกล่าวไปได้
พฤติกรรมเยี่ยงนี้ คือ การซื้อขายผู้สมัครกันนั่นเอง
หากเป็นจริงก็หมายความว่า 4 ปีที่ผ่านมาล้มเหลว
เท่ากับว่า การเมืองไทยยังหนีไม่พ้นการมุ่งเอาชนะกันโดยไม่เลือกวิธี
แม้แต่วิธีที่รู้กันว่าผิด ก็ยังนำมาใช้
แม้เป็นวิธีการโกงก็พร้อมจะเอามาดำเนินการ เพียงเพื่อหวังเอาชนะ
เอาชนะด้วยวิธีการผิดๆ
เอาชนะกันแบบนี้ก็เท่ากับว่าการเมืองไทยยังวนเวียนอยู่กับที่
ยังติดกับดักความโลภ ติดกับดักการโกงทางการเมืองอยู่ต่อไป
ฟังแล้ว หดหู่ใจ
นฤตย์ เสกธีระ
[email protected]