ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ |
---|
อยากจะบอกว่า ระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยยังไม่มีอะไรที่ดีขึ้นเหมือนดั่งที่เคยมีการให้ความหวังเอาไว้
เรื่องการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นให้หมดไปนั้นคงไม่ต้องบอกกล่าวว่ายังมีอยู่ แถมยังมีอยู่อย่างดาษดื่น
ส่วนจะมีอยู่ในรัฐบาลนี้หรือไม่ ลองเปลี่ยนอำนาจดูสิ
เมื่อน้ำลด ตอก็ผุด !
เรื่องการปฏิรูปด้านต่างๆ เหมือนกัน ทุกอย่างยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่สัมผัสได้ แต่ละสิ่งแต่ละอย่างยังคงเป็นแค่ “ร่าง”
ถามว่า หัวใจการปฏิรูปการเมืองที่คาดหวังเป็นเช่นไร คำตอบที่เคยได้ยินคือ การทำให้บรรดาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง
แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการเลือกตั้ง ทุกอย่างจึงยังไม่เริ่มต้น แถมบทบัญญัติที่หวังกันว่าจะทำให้การเมืองไทยเกิดการปฏิรูป นั่นคือ ระบบไพรมารีโหวต
ปรากฏว่าแค่เริ่มต้นก็มีข้อเสนอให้ “งดใช้” ซะแล้ว
ย้อนมาดูการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แค่ได้ยินข่าวคนโดดตึกศาลอาญาฆ่าตัวตายเพราะน้อยใจในการดำเนินคดีของลูกชาย
ฟังแล้วก็ต้องฉุกคิด นี่เราผ่านมา 4 ปี กระบวนการยุติธรรมได้ปฏิรูปขึ้นมาแล้วหรือยัง
ลองแวะไปดูปัญหาอันดับต้นๆ ของประเทศ นั่นคือ ความเหลื่อมล้ำ ต้องถามว่าในวันนี้ประเทศไทยมีด้านใดบ้างที่ไม่มีความเหลื่อมล้ำ
การบริการภาครัฐ การสาธารณสุข การศึกษา เศรษฐกิจ และอื่นๆ คนไทยยังต้องมีเส้นมีสาย มีพรรคพวกกันอยู่หรือเปล่า
ถ้ายังต้องอาศัยเส้นสาย ยังต้องจ่ายเงินเป็นสินน้ำใจกันอยู่ ก็แสดงว่าปัญหานี้ยังมีอยู่
สุดท้ายคือความขัดแย้งบาดหมางที่ฟังดูคล้ายๆ กับว่าจะจางหายไปตามกาลเวลา แต่ทุกครั้งที่มีใครรื้อฟื้นความทรงจำในเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเมื่อหลายปีที่ผ่านมา
ดูเหมือนว่าความรู้สึกลึกๆ ที่ฝังอยู่ในใจจะสำแดงฤทธิ์ออกมา
ล่าสุดกรณี นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “ขอโทษทักษิณ ชินวัตร” และหยิบยกเหตุการณ์การขับไล่รัฐบาลพรรคไทยรักไทย และรัฐบาลเพื่อไทย จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารขึ้นมา
นายนครมองว่า เป็นการทำโดยตั้งใจของฝ่ายที่มีเป้าหมายล้มประชาธิปไตย เหตุการณ์ต่างๆ มิได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่มีความจงใจที่จะล้มรัฐบาลทั้งสอง เพราะหนทางต่อสู้กับพรรคไทยรักไทยในตอนนั้น และพรรคเพื่อไทยในเวลาต่อมาในสนามเลือกตั้งนั้น สู้ไม่ได้
จึงต้องอาศัยวิธีการอื่นๆ เข้ามาจัดการ
ภายหลังจากนายนครโพสต์ข้อความดังกล่าวขึ้นมา ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและถูกพาดพิงต่างๆ ฟื้นความทรงจำในเหตุการณ์ความขัดแย้งเมื่อครั้งกระนั้นขึ้นมาทันที
ตอกย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นยังไม่มีใครลืม เหตุการณ์ทุกประการที่เกิดขึ้น พร้อมที่จะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่อีกคำรบ
ตอกย้ำว่าความขัดแย้งเมื่อ 4 ปีก่อน ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ถูกเก็บเอาไว้
ทุกๆ เหตุการณ์ยังรอวันปะทุ
ดังนั้น ใครที่เคยคิดว่า การรัฐประหารจะทำให้ปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไข ระยะเวลาที่ผ่านมาคงจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ใช่
ความสงบที่เห็นกลับกลายเป็นการเก็บกดเอาไว้ รอจนถึงวันเวลาที่สามารถแสดงออกได้จึงจะปลดปล่อยออกมา
นี่เป็นสัญญาณบอกกล่าวรัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้ง
บอกกล่าวให้ตระเตรียมรับกับระเบิดเวลา
เตรียมรับกับปัญหาเก่าที่ยังไม่ได้สะสาง ไปพร้อมๆ กับการผลักดันนโยบายใหม่ให้สังคมไทยพัฒนาก้าวไปข้างหน้า
นี่เป็นการบ้านที่รัฐบาลชุดหน้าต้องพร้อมรับ
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มี คสช.อยู่ต่อ หรือรัฐบาลที่มีสมาชิกจากฝ่ายการเมืองเข้ามา
สิ่งที่เก็บกดหมักหมมเอาไว้เหล่านี้จะเป็นระเบิดเวลาที่รอให้ปลดชนวน
นฤตย์ เสกธีระ
[email protected]