ผู้เขียน | นฤตย์ เสกธีระ |
---|
ประชาธิปัตย์เป็นอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่น่าสนใจในสนามเลือกตั้งที่จะถึงนี้
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ได้ประชุมใหญ่ เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการ
ผลปรากฏออกมาอย่างที่ทราบ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนเก่า ได้เป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง
ทีมบริหารก็ยังเป็นชุดเก่า จะมีเปลี่ยนแปลงระดับรองหัวหน้าพรรคก็เช่น รองหัวหน้าพรรคภาค กทม.
เปลี่ยนจาก นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ มาเป็น นายสรรเสริญ สมะลาภา
ส่วนนายองอาจโยกไปนั่งเป็น 1 ใน 11 กรรมการสรรหาผู้สมัคร ซึ่งมี นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นประธาน มี นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นที่ปรึกษา
จากมติของการประชุมดังกล่าวทำให้เห็นว่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ยังศรัทธานายอภิสิทธิ์
นี่ถือเป็นอีกครั้งที่แสดงความศรัทธา
เพราะก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์เคยลาออกจากตำแหน่ง และเมื่อมีการเลือกตั้งหัวหน้า นายอภิสิทธิ์ก็ได้กลับมา
คราวนี้รัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญกำหนดให้ทุกพรรคเลือกหัวหน้า
นายอภิสิทธิ์ก็ยังกลับมา แสดงว่าคนประชาธิปัตย์ยังเชื่อมั่น
เมื่อเชื่อมั่นในตัวหัวหน้าเก่า การยืนยันชุดบริหารเดิมก็ไม่ใช่เรื่องผิดวิสัย
อย่างไรก็ตาม การเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์นำเอาวิธีการหยั่งเสียงมาใช้
ผลการหยั่งเสียงปรากฏเป็นคะแนน
คะแนนที่น่าสนใจคือคะแนนระหว่างนายอภิสิทธิ์ 67,505 กับคะแนนของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม 57,689
เป็นคะแนนที่ห่างกันประมาณหมื่นคะแนน ซึ่งถือเป็นคะแนนที่มีนัยสำคัญ
นัยสำคัญแรกคือความต้องการของสมาชิกที่เห็นพ้องที่จะได้นายอภิสิทธ์มากกว่า
แต่ก็มีนัยสำคัญที่สองคือยังมีความต้องการของสมาชิกอีกจำนวนมากที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง
ประการแรก คือ เปลี่ยนแปลงภายในพรรค โดยทำให้ “ประชาธิปัตย์” สัมผัสได้ ทำงานเป็นทีม กระจายอำนาจสู่สาขาพรรค
ประการที่สอง คือ เปลี่ยนการเมืองให้สร้างสรรค์ และเป็นที่พึ่งของประชาชน
โดยการประกาศจุดยืนทางการเมือง นั่นคือพรรคประชาธิปัตย์ต้องเสนอหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวเท่านั้น
จะมุ่งเน้นการทำงาน จะไม่ทะเลาะเบาะแว้ง วิพากษ์วิจารณ์กับกลุ่มหรือพรรคการเมืองอื่น และเป็นนักประชาธิปไตยที่ไม่ต้องพูด แต่ทำ
ประการที่สาม เปลี่ยนประเทศให้ประเทศไทยเป็นประเทศชั้นนำของโลกภายใน 20 ปี
ข้อเสนอดังกล่าวของ นพ.วรงค์ ทำให้มีสมาชิกประชาธิปัตย์สนับสนุน 57,000 เสียง
แม้ 57,000 เสียง จะเป็นเสียงข้างน้อยเมื่อเทียบกับ 67,000 เสียง
แต่สำหรับระบอบประชาธิปไตยแล้ว เสียงข้างน้อยที่มีจำนวนมากเช่นนี้ย่อมมีความหมายเสมอ
เป็นความหมาย หรือเป็นความหวังก็มิอาจคาดเดา
แต่ในพรรคประชาธิปัตย์ตอนนี้ มีคนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นจำนวนมาก
ดังนั้น แม้ประชาธิปัตย์ยุคนี้จะมีหัวหน้าคนเดิม และมีกรรมการชุดเก่าเกือบหมด
แต่สำหรับจังหวะก้าวต่อไปของประชาธิปัตย์อาจจะมีจังหวะก้าวใหม่
หากพรรคประชาธิปัตย์ยังให้ความสำคัญกับ 57,000 เสียง
เสียงที่เทให้ นพ.วรงค์