สถานีคิดเลขที่ 12 : ชี้ขาดที่ตัวเลขรวมส.ส. : โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

ผลคะแนนเลือกตั้งแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทวงกันแล้วทวงกันอีก กว่า กกต.จะประกาศออกมาในเย็นวันที่ 28 มีนาคม หรือผ่านไปถึง 4 วัน หลังการปิดหีบในเย็นวันที่ 24 มีนาคม

แต่ก็กลายเป็นปัญหาใหม่ตามมาอีก เมื่อตัวเลขผู้มาใช้สิทธิเพิ่มพรวดขึ้นมาอีกหลายเปอร์เซ็นต์ คงจะต้องค้นหาคำตอบกันต่อไป

ผลคะแนนครบ 100 เปอร์เซ็นต์ แบบไม่เป็นทางการ คือ กกต.ยังไม่รับรองผลนั้น

มีการเปลี่ยนแปลง พรรคพลังประชารัฐได้รวม 8,433,137 คะแนน พรรคเพื่อไทย 7,920,630 คะแนน พรรคอนาคตใหม่ 6,265,950 คะแนน พรรคประชาธิปัตย์ 3,947,726 คะแนน พรรคภูมิใจไทย 3,732,883 คะแนน

Advertisement

อันนี้เฉพาะ 5 พรรคอันดับต้น ที่มีจำนวน ส.ส.เกินกว่าครึ่งร้อยขึ้นไป

โดยเมื่อนำมาคำนวณเป็นตัวเลข ส.ส.แล้ว พรรคเพื่อไทยก็ยังนำเป็นอันดับ 1 จาก ส.ส.แบบแบ่งเขต 137 ที่นั่ง ซึ่งได้แล้วได้เลย ไม่ต้องมาคิดอะไรใหม่หลังผลคะแนนรวมปรากฏออกมา 100 เปอร์เซ็นต์

ส่วนพลังประชารัฐ ทั้ง ส.ส.เขตและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รวมแล้วยังน้อยกว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ดี

Advertisement

2 พรรคนี้ ช่วงชิงกันเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล

เพื่อไทยอ้างอิงจำนวนที่นั่ง ส.ส.มากสุด

ส่วนพลังประชารัฐอ้างอิงคะแนนป๊อปปูลาร์โหวต ว่าได้มาอันดับ 1

จะอ้างอะไรกันก็ตามที แต่ความจริงก็คือ ชี้ขาดที่จำนวน ส.ส.ที่เข้าไปนั่งในสภา

ถึงจะมีคะแนนรวมที่มากกว่า แต่เวลาเข้าไปนั่งยกมือกันในสภาจริงๆ ฝ่ายพลังประชารัฐก็ไม่สามารถนำจำนวนคะแนน 8 ล้านกว่าไปใช้อะไรได้ เพราะจำนวน ส.ส.ที่แท้จริงนั้นน้อยกว่าเพื่อไทย

แต่เมื่อพลังประชารัฐ ยืนยันใช้ตัวเลขป๊อปปูลาร์โหวต ก็เป็นอันแน่นอนว่า ต้องเดินหน้าเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล ไม่มีถอยให้เพื่อไทย

ลงเอยก็ขึ้นอยู่กับว่าขั้วไหนที่รวม ส.ส.จากพรรคพันธมิตรได้มากกว่ากัน

โดยต้องมีหมายเหตุว่า เมื่อรัฐธรรมนูญดีไซน์ออกมาอย่างนี้ มีบทเฉพาะกาลแถมให้อย่างนี้ ก็มี 250 ส.ว.รอโหวตให้ฝ่ายพลังประชารัฐอยู่แล้วแน่ๆ อีกด้วย

แต่กว่า กกต.จะรับรองผลการเลือกตั้ง กว่าจะมีการสอบสวนข้อร้องเรียน และแจกใบเหลืองใบแดงใบอะไรต่างๆ ตัวเลข ส.ส.ของแต่ละพรรคก็น่าจะแปรเปลี่ยนไปอีก

ข่าวรอบด้าน กับ Line@มติชนนิวส์รูม คลิกเป็นเพื่อนกัน ได้ที่นี่

เพิ่มเพื่อน

โดยรวมแล้วการตั้งรัฐบาลก็อาจจะยังสรุปไม่ได้รวดเร็วนัก

ยกเว้นว่าขั้วใดขั้วหนึ่ง สามารถรวมเสียงได้เหนือกว่าอีกขั้วแบบห่างกันมาก จึงจะเรียกได้ว่ามีความชัดเจนเป็นไปได้

เพียงแต่นักวิเคราะห์โดยส่วนใหญ่มองว่า ขั้วพลังประชารัฐจะมีความได้เปรียบกว่าในหลายด้าน เส้นดีกว่า มีเสียง ส.ว.ช่วยโหวตนายกฯได้แน่นอนกว่า

แต่ขั้วที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย นำโดยเพื่อไทยและอนาคตใหม่นั้น ก็มีทีเด็ดในด้านกระแสความชอบธรรม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคอนาคตใหม่นั้น มีผู้ลงคะแนนให้มากถึงกว่า 6 ล้านเสียง มาแรงที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้

ที่สำคัญเป็นเสียงคนรุ่นใหม่ไฟแรง เอาจริงเอาจัง ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ เป็นกลุ่มก้อนทรงพลังในโลกโซเชียล

กระแสสังคม กระแสความชอบธรรม อาจจะเป็นปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ในยุคที่เรากำลังเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยมีเสรีภาพมากขึ้นกว่า 5 ปีที่ผ่านมา

ดังนั้น ศึกครั้งนี้จึงต้องดูกันยาวๆ โดยแต่ละฝ่ายมีดีกันคนละแบบ

แล้วสำคัญคือจำนวน ส.ส.ใครรวมได้มากกว่ากัน ไม่เกี่ยวกับคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตอย่างแน่นอน

สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image