ผู้เขียน | สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน |
---|
หลังการเลือกตั้ง 24 มีนาคม ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็ครบ 2 เดือนพอดี เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาตลอดว่า เป็นกระบวนการที่เต็มไปด้วยความล่าช้า นำมาสู่บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอึมครึม ไม่มีอะไรชัดเจนว่ารูปโฉมรัฐบาลใหม่จะเป็นเช่นไร
ทั้งหลายทั้งปวงย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจ บรรยากาศการลงทุน น่าเหน็ดเหนื่อยแทนผู้ทำหน้าที่ขุนคลัง ไปจนถึงปากท้องของประชาชนด้วย
แต่เอาเป็นว่า ในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ มาถึงจุดที่ต้องมีความชัดเจนในระดับหนึ่ง
นั่นคือ เป็นวันเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก และจะต้องเลือกผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภา ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ มีภาระหน้าที่สำคัญยิ่งยวด ทั้งเป็นหน้าตาศักดิ์ศรีของผู้แทนราษฎร
ไม่เท่านั้น ลงเอยจะได้ใครมาเป็นท่านประธาน มาจากพรรคไหนขั้วไหนอย่างไร
ยังเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลให้เห็นได้ชัดเจนด้วย
เท่าที่ปรากฏเป็นข่าว พรรคพลังประชารัฐส่งคนลงชิงเก้าอี้นี้แน่นอน ด้านหนึ่งอาจพิสูจน์ให้เห็นจำนวน ส.ส.ที่ให้การสนับสนุน ซึ่งอาจจะตอบได้ว่ามีมากพอสำหรับเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้หรือไม่
แต่อีกแง่หนึ่ง การที่พลังประชารัฐส่งคนลงชิง ก็มีการตีความว่า การเจรจากับพรรคการเมืองอื่น เพื่อจับขั้วเป็นรัฐบาลนั้น ก็เหมือนจะยังไม่ลงตัว
อย่างที่เคยมีข่าวว่า ถ้าจับมือกับพรรคระดับครึ่งร้อยบางพรรคได้ ก็จะยกเก้าอี้นี้ให้ อะไรทำนองนี้
นั่นก็คงต้องดูกันต่อไป
ขณะเดียวกัน ดูเหมือนพรรคประชาธิปัตย์ก็จะส่งคนลงชิงประธานสภาด้วยอีกพรรค
ถ้าประชาธิปัตย์ส่งแล้ว ต้องไปแข่งกับประชารัฐ แล้วมีบรรยากาศการต่อสู้กันดุเดือด ก็น่าจะอธิบายอะไรได้อีก
เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว การจับขั้วตั้งรัฐบาลที่มีพลังประชารัฐเป็นแกนนำนั้น มีการแสดงออกมาตลอดว่า จะต้องดึงพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาร่วมด้วย
ดังนั้นบรรยากาศการชิงตำแหน่งประธานสภา ในวันที่ 25 พฤษภาคม ก็คงพอจะมองเห็นได้ว่า เขาคุยกันได้ดีขนาดไหน
ยิ่งก่อนหน้านี้เลขาธิการประชาธิปัตย์ไปเช็กแฮนด์กับหัวหน้าภูมิใจไทย
คราวนี้จะได้เห็นความจริงว่า การผนึกกันเป็นขั้วที่ 3 จะสามารถคุยกับขั้วพลังประชารัฐได้หรือไม่
ส่วนพรรคเพื่อไทยก็เตรียมส่งคนลงชิงประธานสภาด้วยอีกพรรค
ตรงนี้ก็จะอธิบายอะไรให้เห็นได้อีก เพราะถ้าสุดท้ายเพื่อไทยไม่ส่ง แล้วทั้งขั้วของพรรคแนวร่วมประชาธิปไตยไปโหวตให้ผู้สมัครของพรรคอื่น
นั่นก็คงยิ่งฮือฮากันเข้าไปใหญ่ กลายเป็นประเด็นการจับขั้วรัฐบาลไปไกลได้เลย
เท่ากับว่า การเมืองไทยที่อะไรต่อมิอะไรมัวซัวมาตลอด 2 เดือน วันที่ 25 พฤษภาคม จะเริ่มเห็นความชัดเจน
เพียงแต่ความชัดเจนนั้น จะนำไปสู่ความราบรื่นลงตัว หรือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของความตึงเครียดครั้งใหม่หรือไม่
แถมที่เริ่มเกิดความกังวลกันไม่น้อย เมื่อหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขวัญใจคนรุ่นใหม่ ได้คะแนนรวมกว่า 6 ล้านเสียง
ไม่สามารถเดินเข้าสู่สภาได้ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามคำร้องของ กกต. ในคดีหุ้น
เมื่อเข้าไปทำหน้าที่ในสภาไม่ได้ ก็ต้องอยู่นอกสภา
จะทำให้อุณหภูมินอกสภาเพิ่มระดับขึ้นไหม
เป็นอีกกรณีหนึ่งซึ่งต้องติดตามกันต่อไปด้วยใจอันระทึก
สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน