ผู้เขียน | สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน |
---|
สถานการณ์ไวรัสโควิด รุนแรงไปทั่วโลก แต่ดูเหมือนประเทศไทยเราจะรุนแรงมากเป็นพิเศษ เพราะขาดการจัดการที่ดี ขาดผู้นำที่เฉียบคมวิสัยทัศน์กว้างไกล และที่สำคัญมีขบวนการหากินบนความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์ โหดร้ายที่สุด
ปรากฏการณ์ที่สะท้อนความรุนแรงเลวร้ายนี้ ง่ายที่สุดเป็นรูปธรรมที่สุด คือ ประชาชนไม่มีหน้ากากอนามัยใช้ได้เพียงพอ พร้อมกับมีขายแบบนอกระบบในราคาที่แพงลิบ
ที่ขาดแคลนยังรวมไปถึง เจลล้างมือ แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรค เครื่องวัดไข้วัดอุณหภูมิที่เป็นตัวเลขดิจิทัลทั้งหมด เริ่มหาซื้อไม่ได้แล้ว
เลวร้ายหนักกว่านั้นคือ เจ้าหน้าที่ซึ่งต้องเป็นด่านหน้าในการรับมือกับไวรัสมหาภัยนี้
หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล มีไม่พอใช้
ล่าสุดเริ่มมีข้อเท็จจริงว่า เจ้าหน้าที่ในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เป็นด่านหน้า ก็มีปัญหาขาดอุปกรณ์การทำงาน เช่น หน้ากากอนามัย
เจ้าหน้าที่หน่วยงานหลักเหล่านี้ ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันตัว ย่อมส่งผลให้ขาดขวัญกำลังใจและขาดประสิทธิภาพในการทำงาน
ผู้อำนวยการสนามบินยื่นใบลาออก เพราะแบกรับปัญหาไม่ไหว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ร่วมมือเพียงพอ
หน่วยงานอื่นที่ไม่ร่วมมือนั้น พอจะเข้าใจได้ว่า เป็นเพราะทุกคนหวาดกลัวไวรัสโควิด จนไม่มีใครกล้าเสี่ยง เพราะทุกคนก็ไม่มีเครื่องป้องกันตัวเองที่เพียงพอเช่นกัน
พูดแบบนี้ก็พอจะเห็นภาพกันแล้ว
เมื่อด่านหน้าแตกทัพ การสกัดโรคไวรัสก็ไม่ดีพอ จุดนี้จะนำไปสู่อะไร
คนเจ็บป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ท่ามกลางขวัญกำลังใจที่ตกต่ำของแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล จะนำไปสู่อะไร
ผลกระทบย่อมมาลงที่ประชาชนทั่วไป
ก็ดันไม่มีหน้ากากพอขาย ไม่มีเจล ไม่มีแอลกอฮล์อีก
แล้วอะไรจะเกิดขึ้น
ทอดสายตาต่อไปยังรัฐบาล ผู้บริหารประเทศชาติในสถานการณ์วิกฤตร้ายแรง สามารถฝากความหวังได้แค่ไหน
วันนี้ผลพวงจากความรุนแรงของโควิด จากปัญหาหน้ากากอนามัย จากการกล่าวหากันเรื่องพัวพันทุจริตกักตุนหน้ากากและลักลอบส่งออก
พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ทะเลาะกันนัวเนีย ประกาศจะไม่พายเรือให้โจรนั่ง
พรรคหลักของรัฐบาลก็จับคู่ทะเลาะกันเองในพรรคอย่างเมามัน
ข้าราชการระดับสูงฟ้องร้องกันอีก ประกาศศึกศักดิ์ศรี
จึงต้องบอกว่า ไวรัสโควิด ทำให้โลกทั้งใบอยู่ในภาวะวิกฤต
แต่ประเทศไทยเราวิกฤตยิ่งกว่า