ผู้เขียน | ปราปต์ บุนปาน |
---|
คนไทยจำนวนไม่น้อยชอบผูกรวมคำ-แนวคิด “สิทธิ-หน้าที่” เข้าด้วยกัน เป็นแพคเกจเดียว เป็นสองด้านของเหรียญเดียว จนมักเกิดอาการทึกทักเอาเองว่า ถ้าสังคม/รัฐเรียกร้องให้ใครบางคนบางกลุ่มต้องมี “หน้าที่” บางประการมากขึ้นเป็นพิเศษ นั่นก็หมายถึงพวกเขาจะได้รับ “สิทธิ” บางด้านน้อยลง
ในทางกลับกัน หากใครเรียกร้อง “สิทธิ” บางประการอย่างแข็งขันจริงจังขึ้น เขาก็จะถูกมองว่าเป็นพวกละเลย-ไม่ปฏิบัติ “หน้าที่” ที่พึงกระทำของตน
คำถามสำคัญ คือ “สิทธิ-หน้าที่” นั้นเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” จริงหรือไม่? หรือในหลายกรณี “สิทธิ” กับ “หน้าที่” อาจเป็นคนละเรื่อง คนละสิ่ง ที่ควรพิจารณาแยกจากกัน
เพราะถ้านำมายำมั่วรวมกันเมื่อใด วิธีคิด-แนวทางปฏิบัติอันผิดฝาผิดตัวก็จะบังเกิดขึ้นตามมา
วิกฤต “โควิด-19” เป็นอีกสถานการณ์หนึ่ง ซึ่งแนวคิดเรื่อง “สิทธิ” และ “หน้าที่” ในสังคมไทย กลายมาเป็นประเด็นใจกลางของการพยายามแก้ไขปัญหา-ระงับยับยั้งโรคระบาด ตลอดจนความขัดแย้งข้างเคียงอื่นๆ
ในเรื่องพื้นฐานที่สุด ข้อเรียกร้องให้ประชาชนเว้นระยะห่างทางสังคม, กักตนเองอยู่ในที่พักอาศัย, นั่งทำงานอยู่ที่บ้าน ล้วนเป็นการมอบหมายภาระให้พลเมืองทุกคนต้องมี “วินัย” และมี “หน้าที่” ควบคุมตัวเองอย่างเข้มงวดมากกว่าภาวะปกติ
แต่อีกด้านหนึ่ง ประชาชนและกิจการเอกชนจำนวนมากก็มี “สิทธิ” จะได้รับการเยียวยาที่ครอบคลุมเหมาะสมโดยภาครัฐ อันเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจชะงักงันในยุคปัจจุบันเพราะมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งไม่น่าจะกระเตื้องขึ้นทันตาเห็นภายหลังวิกฤตสาธารณสุขนี้สิ้นสุดลง
ภาพที่ชัดเจนยังปรากฏในกรณีการประกาศเคอร์ฟิว ซึ่งส่งผลให้ประชาชนมี“หน้าที่” ต้องกักตัวเองอยู่ในเคหสถานอย่างเด็ดขาดระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสี่ อันหมายความว่า “สิทธิ” ในการประกอบกิจกรรมบางอย่างหรือการเดินทางของพวกเขาจะต้องถูกจำกัดควบคุม
ความย้อนแย้งระหว่างแนวคิด “สิทธิ”” กับ “หน้าที่” ยังกลายเป็นข้อถกเถียงทางสังคมตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เมื่อคนไทยที่เพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศต้องเผชิญหน้ากับมาตรการกักตัว 14 วัน ภายใต้การดูแลของรัฐ
ณ สถานการณ์ดังกล่าว สังคมย่อมต้องการเห็นบุคคลเหล่านั้นปฏิบัติ “หน้าที่” ด้วยการยินยอมพร้อมร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างมี “วินัย”
ทว่า “สิทธิ” พึงมีของเหล่าบุคคลที่เดินทางกลับมาถึงบ้านเกิดเมืองนอน ก็คือ การได้รับแจ้งข้อมูลเรื่องการกักตัวอย่างครบถ้วนชัดเจนก่อนขึ้นเครื่องบิน และการประสานงานที่เป็นระบบระเบียบจากบรรดาผู้รับผิดชอบ เมื่อเดินทางมาถึงท่าอากาศยานในประเทศไทย
รวมถึงการอำนวยความสะดวกเรื่องการดำเนินการส่งตัว, การขนส่งเคลื่อนย้าย และที่พักชั่วคราว ที่พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในนั้นสองสัปดาห์
แน่นอนที่สุด เมื่อฝ่ายเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานบกพร่องผิดพลาด จนทำให้มีการปล่อย
ผู้โดยสารกว่าร้อยชีวิตออกจากสนามบิน “หน้าที่” ของคนไทยเหล่านั้นคือการกลับมารายงานตัวตามข้อเรียกร้องของรัฐบาล (ซึ่งสุดท้ายก็ไม่มีใครปฏิเสธ)
แต่ขณะเดียวกัน เราก็ “ไม่มีสิทธิ” จะไปตีตราพวกเขาทุกคน (หรือส่วนใหญ่) ว่าเป็น “คนหนีการกักตัว” รวมทั้ง “ไม่มีสิทธิ” จะไปเปิดเผยชื่อ-สกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ประหนึ่งว่าคนไทยกลุ่มนี้เป็นนักโทษ-ฆาตกรในคดีร้ายแรง
ดังนั้น การแบ่ง “สิทธิ” แยก “หน้าที่” ให้ชัดเจน จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสถานการณ์โรคระบาดฉุกเฉิน
ตรงกันข้าม การใช้สองแนวคิดข้างต้นอย่างกำกวม ปะปน และตีมึน จนนำไปสู่การกดดันเรียกร้อง “หน้าที่” จากประชาชนอย่างสูงลิ่ว แต่ (แสร้ง) หลงลืม “สิทธิ” ของพลเมือง ก็อาจมีความเชื่อมโยงไปถึงความล้มเหลวด้านอื่นๆ ของรัฐและสังคม
ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการปัญหาในภาพรวม หรือ “ลัทธิล่าแม่มด” อันมืดมน ไร้สติ ที่ไม่เคยจางหายไปไหน หากอุบัติขึ้นเป็นระยะๆ ท่ามกลางความป่วยไข้ของประเทศ