หนึ่งในองค์ประกอบของความขัดแย้งปัจจุบัน มี สงครามภาพลักษณ์ หรือกระบวนการแย่งชิงความนิยมจากสาธารณชนผ่านการสร้าง-ปรับเปลี่ยน ภาพลักษณ์รวมอยู่ด้วย
มาตรวัดความสำเร็จของฝ่ายต่างๆ ที่เข้าร่วมต่อกรในสงครามประเภทนี้ อาจจำแนกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
หนึ่ง การสามารถรักษาความนิยมดั้งเดิมในหมู่ประชาชนที่เชื่อมั่นศรัทธาต่อตนเองเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
สอง การดึงดูดความนิยมจากบรรดาคนกลางๆ ที่ยังลังเลและไม่ตัดสินใจเลือกฝ่าย
สาม การสามารถเปลี่ยนใจฝ่ายที่เคยต่อต้านและไม่เห็นดีเห็นงามกับตนเอง
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา สมรภูมิของ สงครามภาพลักษณ์ ในสังคมการเมืองไทย มีความเคลื่อนไหวหลายประการ
เริ่มจากผู้ชุมนุมในนาม คณะราษฎร 2563 ที่เคลื่อนไหวด้วยกลยุทธ์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมหน้าสถานทูตฯ การจัดกิจกรรมสตรีทอาร์ต ตลอดจนการมีตัวแทนคนรุ่นใหม่ไปออกรายการโทรทัศน์ เพื่อสนทนากับ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ
นี่ยังไม่รวมถึงการเล่นเกม อายัดตัวรุ้ง-เพนกวิน-ไมค์ ของตำรวจ
อันนำไปสู่การตั้งเวทีปราศรัยหน้า สน.ประชาชื่น จนส่งผลให้คนรุ่นใหม่ผู้บุกเบิกม็อบ ซึ่งหายตัวออกไปจากซีนตั้งแต่เช้าวันที่ 15 ตุลาคม ถูกแสงสปอตไลต์จับในทันทีที่ออกจากเรือนจำ
บทบาทของคณะราษฎร 2563 นั้นมีทั้งแข็งกร้าว ยียวน เป็นนางเอก และเป็นผู้ถูกกระทำ
แม้สองบทบาทแรกอาจมุ่งเน้นสื่อสารกับคนกันเอง ทว่าสองบทบาทหลังกลับคล้ายจะสร้างความประทับใจและเรียกร้องความเห็นใจจากกลุ่มคนกลางๆ ได้ไม่น้อย
ขณะเดียวกัน มวลชนเสื้อเหลืองก็มีพัฒนาการทางด้านปริมาณที่น่าจับตา อย่างน้อยในแง่จำนวนอีเวนต์
จุดท้าทายของมวลชน กึ่งรัฐกึ่งประชาสังคม กลุ่มนี้ อาจอยู่ตรงปัญหาที่ว่า แกนนำฮาร์ดคอร์ ยังไม่สามารถดึงดูดแรงหนุนจากผู้คนได้มากนัก หรือไม่มีศักยภาพพอจะสร้าง ม็อบออร์แกนิค (จนต้องพึ่งพาการระดมพลแบบอื่นๆ)
และเมื่อมวลชนอีกฝ่ายยังมิได้ถลำพลาดเข้าสู่การใช้ความรุนแรงโดยต่อเนื่องจริงจัง ก็น่าตั้งคำถามว่าอะไรคือ แหล่งความชอบธรรมที่จะหล่อเลี้ยงมวลชนฟากนี้ในระยะยาว
หันไปพิจารณาเครือข่ายชนชั้นนำ นอกจากเริ่มเกิดกระบวนการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่สำคัญและน่าสนใจแล้ว
ยังมีอดีตนายกรัฐมนตรี ผู้นำภาคธุรกิจ และเทคโนแครตบางราย ที่พยายามออกมาเสนอไอเดีย ตรงกลาง ระหว่างข้อเรียกร้องของคนรุ่นใหม่กับการมุ่งรักษาเสถียรภาพของรัฐไทย
รวมทั้งมีการตั้งคำถามกึ่งตำหนิผู้นำประเทศคนปัจจุบันแบบชัดๆ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
กลุ่มตัวแสดงที่น่าผิดหวังที่สุดใน สงครามภาพลักษณ์ ปัจจุบัน คือ รัฐบาล พรรคพลังประชารัฐ และเจ้าหน้าที่รัฐ
การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญกลายเป็นนาฏกรรมที่สูญเปล่า
เมื่อความพยายามของ ส.ส.ฝ่ายค้าน ที่จะปรับแปรให้สารของเยาวชนผู้ประท้วงกลายเป็นเรื่องที่พอคุยกันได้บนเวทีทางการ ต้องยุติลงด้วยการแถลงสรุปของผู้นำรัฐบาล ที่ยังคงมีทัศนคติ กรอบคิด สมมุติฐาน และความเข้าใจปัญหาแบบเดิมๆ เสมือนไม่ได้รับฟังการอภิปรายอย่างตั้งใจ
แน่นอนว่าสังคมดูจะไม่ได้ฝากความหวังไว้ที่คณะกรรมการสมานฉันท์มากนัก
ไม่ว่าคณะกรรมการดังกล่าวจะแท้งก่อนคลอด หรือถือกำเนิดขึ้นมาแบบไม่สมประกอบก็ตาม
เช่นเดียวกับ ส.ส.พลังประชารัฐ ที่พาเหรดไปออกรายการดีเบตทางทีวี ซึ่งไม่มีใครสามารถดึงความนิยมจากกลุ่มคนที่ไม่ชอบรัฐบาล หรือคนที่มีจุดยืนกลางๆ ได้เลย
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ปฏิบัติตนประหนึ่งมนุษย์จักรกล ซึ่งคอยไล่ตามจับตามอายัดตัวเยาวชนโดยไม่หยุดหย่อน กระทั่งกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาผู้ชุมนุมไปแล้ว
คนสามกลุ่มที่ควรจะยืดหยุ่น-พลิกแพลงได้มากที่สุด จึงกลายสภาพเป็นคนที่ปรับตัวน้อยที่สุด
จนอดห่วงไม่ได้ว่าพวกเขาอาจเป็นผู้เล่นกลุ่มแรกๆ ที่จะถูกเขี่ยทิ้งจากกระดานความขัดแย้งอันยืดเยื้อรอบนี้
ปราปต์ บุนปาน