ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
ตอนที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล ชูภาพ “เพนกวิน” นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ในที่ประชุมรัฐสภา
มีการประท้วงกันเจี๊ยวจ๊าวในฝั่งฟาก วุฒิสมาชิก
โดยโจมตีว่า นำเอกสารที่ไม่เกี่ยวข้องกับญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 มาแสดงในที่ประชุม
แต่ “ความจริง” แล้วนายพริษฐ์ (ที่ประกาศจะทรมานตัวเองในเรือนจำ เพื่อพิสูจน์ความจริง ในหลายๆ ความจริง) เกี่ยวเนื่องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในฐานะแกนนำคณะราษฎรโดยตรง
เพราะหนึ่งในข้อเรียกร้องของ คณะราษฎร คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และใช้การชุมนุมหลายครั้ง รณรงค์ ให้ประชาชนมาเข้าชื่อเพื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ดำเนินกับไอลอว์ จนสามารถนำเสนอเข้ารัฐสภาได้
แต่ก็อย่างที่ทราบ ถูก “เท” ในวาระรับหลักการ
ทำให้เกิดความรู้สึกว่า รัฐสภาไม่ฟังเสียงประชาชน
กดดัน และผลักให้การเคลื่อนไหวนอกสภา ยกระดับ-ขยายตัวมากขึ้น
และที่สุดก็เปิดช่องให้ ฝ่ายรัฐบาลใช้เป็นเงื่อนไขโดยพ่วงกับนานาข้อหา ดำเนินคดี และกวาดจับกุมแกนนำ
นำไปสู่ไม่ได้รับการประกันตัว ระหว่างพิจารณาคดี ในที่สุด
ดังนั้น ที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลนำภาพเพนกวิน ที่มีส่วนในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาโชว์ เพื่อสะท้อนชะตากรรมของแกนนำม็อบ
จึงเป็น “ความจริง” ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประชุมเพื่อพิจารณาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันนั้น
และความจริง ที่น่าเศร้าใจ ยิ่งไปกว่านั้น
คือ นอกจากพวกเขาไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด คือ การประกันตัวระหว่างพิจารณาคดีแล้ว
ยังเผชิญพฤติกรรมแปลกๆ ในเรือนจำที่นำไปสู่ความหวั่นวิตกว่าจะไม่มีความปลอดภัยในชีวิต
จึงนำเรื่องมาตีฆ้องร้องป่าวให้สังคมได้รับทราบ
นี่จึงเป็นความเกี่ยวข้องกัน และน่าจะสามารถนำมาเสนอในรัฐสภาได้
ซึ่งด้านหนึ่ง อาจสามารถช่วย “รักษาสิทธิ” และความปลอดภัย ของพวกเขาได้
และอีกด้านหนึ่งที่สำคัญ นั่นก็คือ การที่พวกเขาต้องติดคุก ส่วนหนึ่งมาจากการเคลื่อนไหวผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อก้าวไปสู่การเป็นประชาธิปไตยอันแท้จริง
ถือเป็น “ค่าใช้จ่ายอันแพงลิบลิ่ว”
แต่ก็ดูไร้ค่า เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐสภา โดยเฉพาะการ “ล้มร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560” อย่างสิ้นเชิง
อันสะท้อน “จริงในจริง” ที่ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว
นั่นก็คือ การไม่ยินยอมให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ถูกร่างขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจการรัฐประหาร อย่างเด็ดขาด
เพียงแต่ที่ผ่านมา ไม่กล้า “ไม่เอา”
จึงสร้างกลไกลต่างๆ นานาขึ้นมา เพื่อยืด-ถ่วงรั้ง เรื่อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ออกไปนานที่สุดเท่าที่จะนานได้
อาทิ การตั้งกรรมาธิการขึ้นมาก่อนรับหลักการ การส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ
นำไปสู่การตีความ เพื่อตีความ ยุ่งเหยิง อลหม่าน
เกิดภาวะอย่างที่ ส.ส.ภูมิใจไทย ประจานในรัฐสภานั่นแหละ คือทั้งโกหก ปลิ้นปล้อน เป็นเพียงสภาโจ๊ก
และที่สุดก็นำไปสู่สิ่งที่นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา คือ มันจบแล้ว
นี่เป็น “ความจริง” ที่เราได้เห็น
พร้อมๆ กับเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้กับรัฐธรรมนูญฉบับอัปลักษณ์ ว่า นี่เป็นผลจาก “อำนาจสถาปนา” ของประชาชน
ใครจะมาแตะต้องไม่ได้ง่ายๆ
เป็นสิ่งที่ พวกเอ็งไม่มีสิทธิปฏิเสธ
สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร