สถานีคิดเลขที่12 : นัยในเสียง

“ไปแก้มา แก้ให้ได้ก็แล้วกัน”

คือ วาจา ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ฟังแล้ว ใครจะมีความรู้สึกอย่างไร ก็ว่ากันไป

แต่โดยส่วนตัว ฟังแล้ว ก็โน้มเอียงไปอย่างที่นายชวน หลีกภัย พูดในที่ประชุมรัฐสภา นั่นคือ “จบแล้ว”

Advertisement

อันหมายถึง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ปิดฉากลงเรียบร้อย

เพียงแต่อาจจะรู้สึกไปไกลกว่านายชวนอีกนิด

นั่นก็คือ ถึงแม้พรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล พยายามล้าง “โจ๊ก” ที่เปรอะเปื้อนออกจากตัว

Advertisement

“โจ๊ก” ที่ ส.ส.พวกกันเองสาดใส่ ว่าปลิ้นปล้อน โกหก ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แน่นอน ผงซักฟอกที่ดี ในการล้างโจ๊ก ออกได้ ดีที่สุด ก็คือ การแสดงความกระตือรือร้นที่จะฟื้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาอีกรอบ

คราวนี้เป็นการแก้ไข “รายมาตรา” ที่กำลังรอดูอยู่ว่า จะมีประเด็นไหนบ้าง

ทั้งของพรรคประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติพัฒนา

และแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ก็ยังแสดงท่าทีว่าจะเอาด้วย

แต่ ก็ไม่รู้ว่า พรรคร่วมรัฐบาล เหล่านี้ ฟังวาทะ “แก้ให้ได้ก็แล้วกัน” แล้วมีความรู้สึกอย่างไร

เพราะมันแฝง “นัย” ไปด้วยท่าทีเยาะเย้ย ส่อเสียด อย่างไรพิกล

เช่นนี้แล้ว ยัง “หวัง” ว่าการเลี่ยงไปแก้รัฐธรรมนูญ รายมาตรา จะสำเร็จอีกหรือ

ไม่ใช่เพียงแค่เขาวางเกมไว้ในรัฐธรรมนูญฯ ไม่ให้แก้ได้ง่ายๆ หรือแทบจะแก้ไม่ได้เลยเท่านั้น

ยังวางอุปสรรคเอาไว้อีกมากมาย

ไม่ต้องดูอื่นไกล แค่ พ.ร.บ.ประชามติ ไม่ได้มีปัญหาเพราะไปโหวตแพ้การแปรญัตติในมาตรา 9 จนทำให้ป่วนไปเท่านั้น

หากแต่เนื้อใน พ.ร.บ.ประชามติ มีด่านอีกหลายด่าน ที่จะคอยสกัดการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้

ซึ่งนี่เป็นเพียงตัวอย่าง ยังมีอะไรซุกซ่อนไว้อีกเพียบ

นี่กระมัง ถึงทำให้ฝ่ายที่กุมอำนาจ เขาเย้ยๆ ให้ช้ำใจ –แก้ให้ได้แล้วกัน

พร้อมๆ กับที่ฝ่ายกุม “การนำ” ก็เร่งกระชับอำนาจของตัวเองให้เข้มข้นขึ้น

ทั้งในและนอกสภา

ในสภาอย่างที่เห็น ให้บรรดาพรรคการเมืองจมปลักอยู่ในประเด็นรัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่างๆ

ส่วนนอกสภา ก็เดินหน้าบดขยี้ “มวลชน” ฝ่ายตรงข้าม อย่างไม่หยุดยั้ง

ใช้กฎหมายเหล็กกวาดจับแกนนำเข้าคุก โดยไม่ได้รับการประกันตัวอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันก็ใช้วิธีปราบปรามรุนแรงกับการชุมนุม เพื่อที่จะไม่ให้มวลชนโงหัวขึ้น

ทุกอย่างจึงต้อง สงบ ราบคาบ

ขณะเดียวกัน เราได้เห็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่เขา “เริ่ม” คืบไปสู่เป้าหมาย “อยู่นานๆ” อย่างเป็นรูปธรรม มากยิ่งขึ้น

เราได้เห็นการเคลื่อนไหว การก่อตั้งพรรคใหม่

อย่างที่มีการขานชื่อ กันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น พรรครวมไทยสร้างชาติ อันเป็นเสมือนพรรคคู่แฝดกับพรรคพลังประชารัฐ ที่จะลุยสนามเลือกตั้งสมัยหน้า

เพียงแต่มีข้อน่าสังเกตว่า คือขณะที่พรรคพลังประชารัฐ มีแรงหน่วงของนักการเมือง เลยทำให้การขับเคลื่อนไม่คล่องตัวนัก

จึงมีคนมองว่า กลุ่ม 3 ป.อาจจะขยายพรรคข้าราชการ ให้กลายมาเป็นพรรคการเมืองที่ดูจะเข้าสไตล์และพื้นฐาน ความเป็นข้าราชการ และทหารมากกว่า

พรรคใหม่ถึงถูกกล่าวหาว่าป้วนเปี้ยนอยู่แถวมหาดไทยเป็นหลัก

ซึ่งอาจกลายเป็นความหวัง หรือความเชื่อมั่นใหม่ ของฝ่ายกุมอำนาจที่จะใช้เป็นฐานในการสืบทอดอำนาจต่อไป

ด้วยความเชื่อมั่น ในหลายๆ ด้านนี้เอง

ทำให้เวลาพูดอะไร จึงมีน้ำเสียงที่มีนัยส่อเสียดฝ่ายอื่นทำนอง–แก้ให้ได้ก็แล้วกัน แฝงอยู่ตลอด!

สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image