สถานีคิดเลขที่ 12 : สัญญาณ โดย นฤตย์ เสกธีระ

สถานีคิดเลขที่ 12 : สัญญาณ โดย นฤตย์ เสกธีระ

ถ้าการเมืองขับเคลื่อนด้วยการสำรวจความพึงพอใจของประชาชน

และถ้าการสำรวจนั้นตรงกับความจริงที่เกิดขึ้น

การขับเคลื่อนของพรรคการเมืองก็จะชนะใจประชาชนคนที่ออกไปใช้สิทธิใช้เสียงในการเลือกตั้งในที่สุด

จากคำให้สัมภาษณ์ของนายไผ่ ลิกค์ รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ บอกว่า ทางพรรคคิดจะใช้โพลมาเป็นเกณฑ์คัดตัวผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค

Advertisement

ไม่ว่าจะทำได้หรือทำไม่ได้ แต่หากทำจริงก็ถือว่าให้เกียรติประชาชน

หากยังจำได้ การบัญญัติใน พ.ร.ป.พรรคการเมือง เรื่องการสรรหาผู้สมัคร ที่ดึงเอาระบบ “ไพรมารีโหวต” มาใช้ และกำลังจะรื้อทิ้งเพราะทำไม่ได้นั้น ก็ต้องการจะให้ประชาชนในเขตเลือกตั้งมีส่วนร่วมในการคัดเลือกผู้สมัคร

นอกจากความเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชารัฐ ที่นำเสนอใช้โพลคัดตัวผู้สมัคร ส.ส.แล้ว ยังมีความเคลื่อนไหวจากพรรคประชาธิปัตย์เรื่อง “ยอดบริจาคภาษีให้กับพรรคการเมือง” ที่สะท้อนภาพความนิยม

Advertisement

นายเทพไท เสนพงศ์ โพสต์ข้อความถึงเรื่องดังกล่าว

สรุปว่า ข้อมูลยอดเงินการบริจาคภาษีเงินได้ให้กับพรรคการเมือง ประจำปี 2563 พบว่า พรรคการเมืองที่ได้รับการบริจาคภาษี ยอดเกิน 1 ล้านบาท มี 5 พรรค

อันดับ 1 พรรคก้าวไกล 12,695,739.77 บาท อันดับ 2 พรรคประชาธิปัตย์ 3,241,639.30 บาท อันดับ 3 พรรคกล้า 2,532,740.71 บาท อันดับ 4 พรรคพลังประชารัฐ 2,032,004.08 บาท และอันดับ 5 พรรคเพื่อไทย 1,422,517.81 บาท

นายเทพไทวิเคราะห์จากข้อมูลดังกล่าวต่อไปว่า กลุ่มบุคคลที่บริจาคภาษีเงินได้ให้กับพรรคการเมือง ส่วนใหญ่จะเป็นคนชั้นกลาง หรือเป็นคนกรุงเทพฯและปริมณฑล

เมื่อก่อนพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นแชมป์ในการได้รับบริจาคมาโดยตลอด

แต่มาปีนี้ พรรคที่เป็นแชมป์ได้รับการบริจาคสูงสุด คือ พรรคก้าวไกล

พรรคกล้า เองก็ได้รับบริจาคขึ้นมาเป็นอันดับ 3

นายเทพไทยระบุว่า ยอดบริจาคนี้คือผลโพลวัดความนิยม

เท่ากับว่า ชนชั้นกลาง โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯและปริมณฑล เริ่มนิยมในตัวพรรคก้าวไกลมากที่สุด

ถือเป็นสัญญาณดีของพรรคก้าวไกลที่ชนชั้นกลางในกรุงสนับสนุน

แสดงว่าการทำงานของ ส.ส.พรรคก้าวไกลอยู่ในสายตาของผู้คน

เช่นเดียวกับการทำงานของ ส.ส.พรรคการเมืองอื่นๆ ก็อยู่ในสายตาของผู้คน

หากยอดบริจาคภาษีเงินได้คือโพล

ต้องยอมรับว่า พรรคก้าวไกล มาเป็นที่หนึ่ง ตามมาด้วยพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคกล้า

แม้ผลจะออกมาเช่นนี้ แต่เมื่อคำนวณเวลาก่อนจะเลือกตั้งทั่วไป

แต่ละพรรคยังมีเวลาที่จะสร้างความนิยม

ดังนั้น ข้อมูลที่ปรากฏ จึงเป็นสัญญาณดีสำหรับทุกพรรค

เชื่อว่าผู้รับผิดชอบของแต่ละพรรคคงคิดค้นหาวิธีสร้างความนิยมด้วยการทำงาน

นักการเมืองแต่ละคน พรรคการเมืองแต่ละพรรค จะได้ปรับตัว

พรรคไหนที่คนนิยมอยู่แล้วจะได้ทำงานเพื่อรักษาความนิยมเอาไว้

พรรคไหนที่คนนิยมน้อยลงก็จะได้คิดค้นวิธีเพิ่มความนิยมให้มากขึ้น

เช่นเดียวกับพรรคที่ยังได้รับความนิยมท้ายๆ

การรับทราบสัญญาณจากประชาชนแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้นำมาปรับปรุง

สัญญาณทั้งจากโพลสำรวจความพึงพอใจ

หรือสัญญาณที่มาจากยอดบริจาคภาษีเงินได้

คือสัญญาณที่กระตุ้นให้ทุกพรรคทุกคนทำงานเพื่อประชาชนต่อไป

ถือว่านี่เป็นสัญญาณที่ดี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image