ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 : ชดใช้กรรม
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เก็บตัวเงียบไปหลังจากลาออกจากตำแหน่ง
หลังจากนั้นได้ยินแต่ความเคลื่อนไหวเรื่องพรรคการเมืองใหม่ที่มี นายอุตตม สาวนายน เป็นหัวหน้า และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นเลขาธิการพรรค
จดแจ้งและตั้งชื่อพรรคว่า สร้างอนาคตไทย เพิ่งมีการเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้
ที่สำคัญ พรรคการเมืองใหม่นี้ชูนายสมคิดนี่แหละเป็นแคนดิเดตนายกฯ แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินนายสมคิดพูดจาอะไร
กระทั่งล่าสุดในงานของมูลนิธิสัมมาชีพ ที่นายสมคิดแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง สัมมาชีพกับประเทศไทย หัวใจในการขับเคลื่อนประเทศ
ได้ฟังแล้วมองเห็นวิชั่นนายสมคิด
รายละเอียดของคำปาฐกถาพิเศษหนังสือพิมพ์มติชนได้ตีพิมพ์ลงในหน้า 2 ไปแล้ว แฟนๆ คงได้อ่าน
ประเด็นสำคัญที่นายสมคิดฉายภาพให้เห็นคือวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ทุกคนต้องได้รับ
วิกฤตดังกล่าวเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายนอกเด่นๆ คือ ผลพวงจากโรคโควิด-19 ที่อาละวาดมา 2 ปี และผลกระทบจากสงครามที่รัสเซียบุกยูเครน
ความน่ากลัวในช่วงต่อไปคือเงินเฟ้อ
ส่วนปัจจัยภายในนั้น คือ ภาวะการสลายตัวของพลังแห่งชาติ
ภาวะนี้เกิดขึ้นจากความบอบช้ำจากวิกฤตที่เกิดขึ้นซ้ำซาก เกิดจากความขัดแย้งภายในชาติที่เริ่มขึ้นจากความเห็นต่างทางการเมือง การแบ่งขั้ว แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
นายสมคิดเห็นว่าความเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองในหลายปีนี้นอกจากจะไม่ลดน้อยลงแล้วยังขยายวงกว้างขวางไปหลายมิติ
แยกพวก แยกวัย
ภาวะเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อชาติ ทำให้การขับเคลื่อนประเทศไปไม่ได้
ข้อเสนอก็คือ การเมืองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันเช่นนี้ต้องพักไว้ก่อน หากต้องการจะให้ประเทศเดินไปข้างหน้า
เราเห็นต่างได้ คิดต่างได้ แต่ต้องไม่ถึงขั้นแบ่งขั้วเชิงปฏิปักษ์ เกลียดชัง จนถึงขั้นมุ่งร้ายทำลายกัน
ผลจากการเมืองที่ไร้ความสามัคคีนี้ แม้จะมีแนวทางแก้ปัญหาดีเพียงใด แต่ก็ยากจะสำเร็จ ยิ่งในสถานการณ์วิกฤตที่ผลักดันให้คนเห็นแก่ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม ยิ่งเป็นอุปสรรคของชาติในการคลี่คลายสถานการณ์
อีกเรื่องหนึ่งคือผู้นำ ในยามบ้านเมืองมีปัญหานั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ตามปกติผู้นำก็มีความสำคัญอยู่แล้ว แต่ในภาวะวิกฤตจะยิ่งมีความสำคัญมากๆ
เพราะผู้นำมีส่วนสำคัญในการทำให้การดำเนินการสำเร็จ หรือล้มเหลว
เสียงสะท้อนจากนายสมคิด ในฐานะคนที่เคยอยู่ในรัฐบาลชุดเก่า และได้ออกไปนั่งดูการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน น่าจะสะกิดให้หลายคนได้คิด
ความขัดแย้งทางการเมืองของไทยนับสิบปีที่เกิดขึ้นจากความจงใจ ได้ส่งผลอะไรให้กับคนส่วนใหญ่
ณ เวลานั้นอาจจะคิดไม่ถึงว่าประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตโรคระบาด และวิกฤตสงคราม และอาจจะคาดไม่ถึงว่า เมื่อเสี้ยมจนคนในชาติแตกแยกแล้ว รอยร้าวที่เกิดขึ้นนั้นยากที่จะสมาน
อาจคิดไม่ถึงว่า อนาคตจะเกิดวิกฤตซ้ำวิกฤตซ้อนขึ้นมาในโลก
คิดไม่ถึงว่าถ้าประเทศไทยอ่อนแอ การตั้งรับวิกฤต รวมถึงการฟื้นจากวิกฤตจะยากมากขึ้น
แต่ทุกอย่างแม้จะล่วงเลยเวลามานานพอสมควรก็ยังไม่มีวันสาย เพราะหากสังคมไทยเข้าสู่ภาวะปกติ
นั่นคือ เห็นต่างได้ คิดต่างได้ แต่ไม่เป็นปฏิปักษ์
ถ้าประเทศไทยสามารถค้นหาผู้นำที่เหมาะกับสถานการณ์วิกฤต โดยยอมรับฟังเสียงของประชาชนส่วนใหญ่
โอกาสที่สังคมไทยจะกลับมาร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศให้พ้นวิกฤตก็พอมีให้เห็น
ข้อเสนอดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่สังคมไทยเกิดความขัดแย้งทางการเมือง มีคนเจ็บมีคนตายหลังจากไปร่วมชุมนุม มีธุรกิจพังยับจากการปิดเมือง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
หลายปีที่ผ่านมา มีคนติดคุก หลายคนหมดอนาคตเหมือนโดนกลั่นแกล้ง ความเกลียดชังแผ่ซ่านจากการเมืองไปสู่เรื่องราวต่างๆ แต่ข้อเสนอเช่นดังว่าก็ยังไม่ได้รับการดำเนินการให้เป็นรูปธรรม
มาครั้งนี้ได้ยินนายสมคิดแสดงความเป็นกังวลอีกครั้ง หวังว่าทุกฝ่ายจะหันมาร่วมมือกันขับเคลื่อนประเทศให้พ้นวิกฤต
หรือถ้ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก
ผลกระทบต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก็ถือเสียว่าชดใช้กรรม
ร่วมกันชดใช้กรรมที่เอาเวลาหลายปีที่ผ่านมาไปเข่นฆ่าทำลายกันและกันจนประเทศชาติอ่อนแอ
นฤตย์ เสกธีระ
[email protected]