ผู้เขียน | เทวินทร์ นาคปานเสือ |
---|
ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรมสำหรับคดี “หมอสูติ” คนดังในจังหวัดนครสวรรค์ ที่ถูกกล่าวหาอนาจารและกระทำชำเราคนไข้ในคลินิกของตัวเอง
โดยเจ้าตัวเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครสวรรค์ ให้การปฏิเสธ
ขอสู้คดีในชั้นศาล
ซึ่งพนักงานสอบสวนระบุสอบปากคำพยานบุคคล รวบรวมหลักฐานเอกสาร เกือบเสร็จสมบูรณ์
รอเพียงผลทางนิติวิทยาศาสตร์เท่านั้น
ที่จะสรุปสำนวนสั่ง “ฟ้อง” หรือ “ไม่ฟ้อง” ต่ออัยการ
ขณะที่แพทยสภาเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเป็นห่วงเป็นใยเรื่องที่เกิดขึ้นและเตรียมนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารชุดใหญ่ต้นเดือนธันวาคมนี้
เพื่อตรวจสอบว่าข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่?
เข้าข่ายผิดจริยธรรมทางการแพทย์ตามข้อบังคับหรือเปล่า?!
โดยยืนยันว่าจะพิจารณาอย่างรวดเร็วชัดเจน
พร้อมระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแพทยสภามี 2 ช่องทางในการตรวจสอบ
หนึ่ง มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์
หนึ่ง แพทยสภารับทราบข่าวสารจากช่องทางใดก็แล้วแต่
กรณีที่เกิดขึ้นทราบข้อมูลมาจากสื่อมวลชน
ฉะนั้นสามารถนำเรื่องที่มีผู้เสียหายเข้าที่ประชุมได้เลย
โดยจะตรวจสอบ 2 ประเด็น
หนึ่ง ด้านจริยธรรม
หนึ่ง ตามกฎหมายบ้านเมืองในส่วนนี้ต้องรอผลสอบของตำรวจประกอบ
เพื่อพิจารณาบทลงโทษเริ่มจาก “น้อย” ไปหา “มาก”
กล่าวคือ “ตักเตือน” สเต็ปต่อไปคือ “ภาคทัณฑ์”
หากผิดรุนแรงหนักถึงหนักมาก ก็จะถึงขั้น “พัก” ไปถึง “ถอดถอน” ใบประกอบวิชาชีพเลย
ขณะที่ “หมอสูติ” คนดังซึ่งถูกกล่าวหาก็ระบุว่าพร้อมชี้แจงต่อแพทยสภาและยืนยันจะไปด้วยตนเอง
ส่วนผลสรุปจะออกมาอย่างไรต้องรอเวลาสักระยะ!
อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งนี้หรือครั้งก่อนหน้านี้ “ทนายความ” บางคน เข้ามามีบทบาทสำคัญยิ่งในการออกมาเปิดโปงพฤติกรรม
จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมกันไปต่างๆ นานา
ทั้งให้ฝ่ายถูกกระทำออกมาแสดงตัวเรียกร้องเอาผิด และฟากผู้เห็นใจผู้ถูกกล่าวหาว่าอาจถูกแบล็คเมล์ จนตั้งข้อสังเกตตอบโต้กันไปมาทั้งสองฝ่าย
ซึ่งเรื่องคดีความก็คงต้องไปพิสูจน์กันด้วยพยาน หลักฐาน จะเข้าข่ายความผิดในข้อกฎหมายใด น้ำหนักมีเพียงพอหรือไม่?!
นั่นเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม
แต่สิ่งที่รู้สึกกังวลและมีการกล่าวถึงกันมาก คือบทบาทหน้าที่ของ “ทนายความ” ในยุคนี้
การยื่นมือช่วยเหลือโดยเฉพาะคนที่ “ด้อยโอกาส” ในสังคม
นับว่าเป็นสิ่งที่น่ายกย่องสรรเสริญ
ถ้ากระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เพราะพักหลังๆ จะเห็นบทบาททนายความบางคนแสดงออกผ่านสื่อจนเกินเลยไปหรือไม่?
ลักษณะคล้ายๆ ข่มขู่คู่กรณีกลายๆ ชี้ผิดชี้ถูกจนสังคมสับสน
ทั้งๆ ที่คดีความยังเพิ่งอยู่ในกระบวนการยุติธรรมด้วยซ้ำ
บางคนอาจเลยเถิดจะเอาผิดคู่กรณีนอกเหนือจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วย
หากคู่กรณีทนความกดดันไม่ไหว อาจเสนอผลประโยชน์ตอบแทนเพื่อให้เรื่องราวจบลงได้หรือไม่?
ตรงนี้อาจทำให้ถูกมองได้ว่ามีผลประโยชน์แอบแฝงได้หรือไม่?
หรืออาจใช้สื่อเป็นเครื่องมือเพื่อให้ตนเองเด่น-ดัง
อย่าลืมว่าที่ผ่านมาเคยมีบทเรียนทั้ง “ตา-ยาย” เก็บเห็ด หรือ “ครูจอมทรัพย์”
ที่ศาลท่านตัดสินไม่ใช่อย่างที่ชี้นำให้ร้ายเจ้าหน้าที่!
สภาทนายความซึ่งมีหน้าที่ควบคุมมารยาทบทบาทวิชาชีพทนายความ น่าจะออกมากระตุกเตือนให้สังคมได้รับรู้บ้าง
หรือจะปล่อยให้ทนายตัดสินทางโซเชียลมีเดียกันเลย!?!
เทวินทร์ นาคปานเสือ