ปรากฏการณ์ของ 5 พรรคการเมืองขนาดเล็กร่วมรัฐบาล อันประกอบด้วย พรรคไทยศรีวิไลย์ พรรคพลังไทยรักไทย พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคประชาธรรมไทย พรรคครูไทยเพื่อประชาชน แสดงอาการฮึดฮัด คับข้องใจในการอยู่ร่วมรัฐบาล
ประสานเสียงประกาศตัวเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ”
แม้จะมี ส.ส.อยู่เพียง 1 เสียงในแต่ละพรรค ย่อมไม่อาจดูเบาได้หากย้อนไปตรวจสอบการดำรงอยู่ของรัฐบาลปริ่มน้ำ 254 เสียง
หากช่วงเวลา เวลาหนึ่ง ทั้งการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่คาดว่าจะเริ่มในราวกลางเดือนตุลาคมนี้ ทั้งการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่พรรคฝ่ายค้านจองกฐินไว้
หากฝ่ายค้านอิสระ เทไปให้ 7 พรรคฝ่ายค้านหลัก เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอนทันที
ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวของ 5 พรรคเล็ก ก็ยังถูกมองด้วยความปรามาสถึงอาการฮึดฮัดที่ว่า เสมอเพียงการสร้างราคา ถามหาตำแหน่งแห่งหนในทางการเมืองจากพรรคแกนนำที่เคยรับปากไว้
เมื่อได้ตามข้อเรียกร้องทุกอย่างคงสงบลง อยู่ร่วมรัฐบาลกันต่อไป
แต่ไม่ว่าจะออกรูปแบบหนึ่ง รูปแบบใด สิ่งที่สะท้อนข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง ก็คือการอยู่อย่างเหนื่อยของรัฐบาล “ประยุทธ์ 2/1”
นั่นยังไม่นับสถานการณ์ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ต้องเผชิญขณะนี้ ผ่านบทสรุปของพรรคเพื่อไทยต่อปัญหาใหญ่กำลังรุมเร้า
-ปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาล สะท้อนจากหลายกรณี โดยเฉพาะการที่รัฐบาลแพ้โหวตฝ่ายค้านในสภาด้วยด้วยคะแนน 205 เสียง ต่อ 204 เสียงเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ในการลงมติในวาระพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ข้อที่ 9 ที่ระบุถึงการทำหน้าที่ของประธานสภา จะต้องวางตัวเป็นกลาง ทำให้เห็นภาพรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำเด่นชัดยิ่งขึ้น
-ปัญหาความขัดแย้งจากคุณสมบัติรัฐมนตรี การตั้งคนไม่ตรงกับงาน ลุกลามไปถึงการแบ่งงานของรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ที่มีลักษณะของการรวบอำนาจของเจ้ากระทรวง การแบ่งงานที่ไม่เป็นธรรม จนความขัดแย้งขยายวงกว้าง และไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายที่หาเสียงไว้ได้
-ปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคง ส่งผลถึงความเชื่อมั่นรัฐบาลที่ลดลง เช่น การลอบวางระเบิดป่วนกรุงเทพมหานครในหลายจุด จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ชัดว่า แท้จริงแล้วสาเหตุของการวางระเบิดครั้งนี้มาจากเรื่องใด
-ปัญหาการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน ซึ่งเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญ อาจทำให้ความเป็นรัฐมนตรีทั้งคณะเป็นโมฆะ การแถลงนโยบายเป็นโมฆะ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ แม้จะถูกสังคมกดดันอย่างหนัก แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังไม่มีคำตอบและแนวทางการแก้ไขปัญหานี้ที่ชัดเจน
ไม่เพียงข้อสังเกตจากซีกฝ่ายค้าน แม้แต่ภายในพรรคร่วมรัฐบาล อย่าง เทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ประชาธิปัตย์ ก็ยังชี้ถึงความแหลมคมของปมปัญหาการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนของ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมเสนอทางออก 2 ทางเลือก ระหว่างขอพระราชทานอภัยโทษ ขอพระบรมราชานุญาตนำ ครม.เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณใหม่ เพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ จากนั้นแถลงนโยบายใหม่ต่อที่ประชุมรัฐสภาอีกครั้ง
หรือ พล.อ.ประยุทธ์แสดงความรับผิดชอบทางเมือง ด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วเริ่มกระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีใหม่ ให้สมาชิกรัฐสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และเริ่มขบวนการใหม่ (พล.อ.ประยุทธ์ก็น่าจะได้กลับมาค่อนข้างแน่นนอน)
เมื่อประสานกับแรงกระเพื่อม รอจังหวะจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เลี่ยงได้ยากที่รัฐบาลมากพรรคต้องตกอยู่ในสภาพเรียกว่า “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก”
สัญญา รัตนสร้อย