เหมือนไฟลามทุ่งต่อความเชื่อถือของประชาชนในการรับมือของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นั่นติดลบ กระแสรุมด่าในโซเชียลรุนแรงและขยายใหญ่โต จนในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแถลงการณ์ชี้แจงสถานการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ
“บิ๊กตู่” ระบุว่าสถานการณ์โดยรวมขณะนี้ถือว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ 100% เป็นการออกสื่อผ่านช่องทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเหมือนเป็นการยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และรัฐบาลให้ความสำคัญ แต่ก็เหมือนช้าเกินไปต่อท่าทีก่อนหน้านี้ที่เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อสถานการณ์ฉุกเฉินระดับโลกครั้งนี้
ไม่ต่างจากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ของประเทศไทยที่ไร้มาตรการรองรับปล่อยให้ธรรมชาติแก้ไขเยียวยาตัวมันเอง พร้อมๆ กับเสียงก่นด่าทั่วเมือง
ความไม่เชื่อถือหรือวิกฤตศรัทธาต่อรัฐบาลเป็นเรื่องสะสมมานานกว่า 5 ปี นับแต่ “บิ๊กตู่” และ คสช. เข้ามา
บริหารประเทศ สัญญิงสัญญาที่ให้ไว้ต่อประชาชน ทั้งการสร้างความปรองดอง การลดความเหลื่อมล้ำ และการปราบปรามคอร์รัปชั่น ผลที่ปรากฏนั่นเลวร้ายกว่าช่วงรัฐบาลพลเรือนบริหารประเทศเสียอีก
คำประกาศการสร้างความปรองดอง สลายขั้วขัดแย้งทางการเมือง ถึงวันนี้จากสถานการณ์เดิมที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์เคยมีสถานภาพเป็นคนกลางทางการเมือง วันนี้เปลี่ยนสถานะใหม่มาเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง และมีแนวโน้มว่าการเมืองกำลังเข้าสู่โหมดความขัดแย้ง และกำลังเดินสู่ท้องถนนอีกครั้ง การแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายยังรุนแรงไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
เช่นเดียวกับคำประกาศลดความเหลื่อมล้ำ พัฒนาเศรษฐกิจประเทศเพิ่มรายได้ให้คนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่วันนี้การลดความเหลื่อมล้ำยิ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงและเลวร้ายยิ่งกว่า จากรายงานของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เผยแพร่ความก้าวหน้าปีที่ 2 หรือในปี 2561 ของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ ‘การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม’ ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12
ผลปรากฏออกมาว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 1 ‘สอบตก’ ในหลายหัวข้อ โดยเฉพาะในด้านการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และแก้ไขปัญหาความยากจน เศรษฐกิจปี 2561 เติบโตสูงถึง 4.1% แต่จำนวนประชากรที่อยู่ใต้เส้นยากจนกลับ ‘เพิ่มขึ้น’ โดยเฉพาะคนยากจนมากเพิ่มขึ้นกว่า 8.4 แสนคน ในช่วงเพียง 1 ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากในปี 2560 จำนวนผู้ยากจนอยู่ที่ 5.3 ล้านคน หรือคิดเป็น 7.87% ของประชากรทั้งหมด แต่ในปี 2561 จำนวนผู้ยากจนได้เพิ่มขึ้นเป็น 6.7 ล้านคน หรือคิดเป็น 9.85% ของประชากรทั้งหมด และสวนทางกับเป้าหมายของแผน ที่ตั้งเป้าลดจำนววนคนจนให้เหลือ 6.5%
สอดคล้องกับรายงานของ Global Wealth Report
การันตีจัดอันดับประเทศไทยเป็นอันดับ 1 มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก แซงรัสเซียและอินเดีย เพราะคนไทยเพียง 1% ถือครองทรัพย์สิน 66.9% ของประเทศ
สิ่งนี้สืบเนื่องจากรัฐบาลสร้างเงื่อนไขให้มีการผูกขาดในระบบเศรษฐกิจ ทำให้ไม่เกิดการกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม และทำให้ผลประโยชน์ยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มที่มีรายได้สูง เป็นสาเหตุที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำมากขึ้น จนเกิดคำพูด “รวยกระจุก จนกระจาย”
และคำประกาศเรื่องการปราบโกง สิ่งที่ยืนยันความล้มเหลวเพราะล่าสุดองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ได้ประกาศค่าดัชนีการรับรู้การทุจริตประจำปี 2019 พบ ไทยได้ 36 คะแนนเท่าปี 2562 อยู่อันดับ 101 จาก 180 ประเทศทั่วโลก ซึ่งเท่ากับค่าดัชนีในปี 2018 แต่อันดับถือว่าหล่นลง เนื่องจากในการจัดอันดับปี 2018 ไทยอยู่ในอันดับที่ 99 จาก 180 ประเทศเทียบปี 2018 ตกมาอีก 2 อันดับ
ความไม่เชื่อต่อสิ่งที่ “บิ๊กตู่” พูด มันเกิดจากผลที่ออกมาสวนทางกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นนั่นเอง
โกนจา