รัฐบาล นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ถูกกล่าวหาเรื่องความไม่สง่างามและงามหน้ามาตลอด
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มมีตั้งแต่มีกระแสข่าวว่า คสช.จะสืบทอดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะลงเล่นการเมือง เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้ง
ที่วิจารณ์คือ ความไม่เหมาะสม และการเอาเปรียบทางการเมือง
กล่าวหาว่า เขียนกติกาเองและลงเล่นเอง
นอกจากนี้ ยังมีข้อครหาที่ 4 รัฐมนตรีในรัฐบาล คสช. ออกมาตั้งพรรคพลังประชารัฐ เพื่อรองรับการสืบทอดอำนาจ
รัฐบาล คสช.ยังถูกกล่าวหาเรื่องการใช้งบประมาณของรัฐในการหาเสียง
ช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง ก็มีเสียงจากพรรคการเมืองที่อยู่ขั้วฝ่ายตรงข้าม เรื่องถูกติดตามและคุกคาม
ภายหลังการเลือกตั้ง ที่พรรคพลังประชารัฐ แพ้พรรคเพื่อไทย โดยได้จำนวน ส.ส.มาเป็นลำดับที่ 2 แต่พรรคพลังประชารัฐก็ช่วงชิงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่สง่างามอีกครั้ง
ว่ากันว่า พรรคที่ได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับ 2 ต้องให้เกียรติพรรคที่ชนะการเลือกตั้งในการจัดตั้งรัฐบาลก่อน
เหตุผลที่พรรคพลังประชารัฐ อ้างความชอบธรรมในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลคือ จำนวนคะแนนป๊อปปูลาร์โหวตที่มาเป็นอันดับ 1 โดยไม่ได้มองเรื่องจำนวน ส.ส.
การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ก็ถูกกล่าวหาว่า ไม่สง่างามเช่นกัน เพราะใช้เสียง ส.ว. 250 คน ที่เกิดจาก คสช.มาร่วมโหวต ทั้งยังมีการพูดถึงเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์
ยังมีเรื่องการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ที่มีการพูดถึงภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีของรัฐมนตรีบางคน
การถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนปฏิบัติหน้าที่ ก็มีปัญหาเรื่องถวายสัตย์ฯไม่ครบ
และด้วยเสียงของรัฐบาลปริ่มน้ำ ก็เกิดข้อครหาเรื่องงูเห่า หรือซื้อกล้วยเลี้ยงลิง
ล่าสุดก็มีปัญหา ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน
ซึ่งข้อครหาความไม่สง่างาม และเรื่องงามหน้า ย่อมส่งผลถึงความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล
เรื่องการบริหารจัดการ และการแก้ปัญหาของรัฐบาล โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ ก็มีผลต่อความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลเช่นกัน
เวลาที่ยาวนานก็ทำให้คนเบื่อได้เช่นกัน
ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่น ก็สร้างความระส่ำให้กับรัฐบาล เพราะแม้รัฐบาลจะชี้แจงข้อมูลต่างๆ ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก หรือกลัวเกินเหตุ โดยขอให้เชื่อมั่นว่า รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ หรือเอาอยู่ แต่กระแสในสังคมออนไลน์นั้น มีแต่ความไม่พอใจรัฐบาล ทำให้ฉุดความไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาลดิ่งลงไปอีก
ล่าสุดพรรคฝ่ายค้านได้ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 6 คน
เนื้อหาในญัตติฯนั้น ระบุพฤติกรรมกล่าวหาค่อนข้างรุนแรง เช่น ผู้นำประเทศที่กร่างเถื่อน มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู ปิดปากผู้ที่มีความเห็นต่าง ชอบก่นด่าเมื่อถูกซักถาม
ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง บริวารและพวกพ้อง เข้าข้างคนชั่วที่เป็นพวกโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชน
บริหารราชการแผ่นดินโดยขาดความรู้ความสามารถ ผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรง ขาดคุณธรรม จริยธรรม ฯลฯ
ซึ่งเชื่อได้เลยว่า เนื้อหาการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะหนักหน่วงรุนแรงกว่าเนื้อหาในญัตติฯ และจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลอีกเช่นกัน
การตั้งใจและทำงานหนักนั้นยังไม่พอ ต้องทำงานให้เป็น รวดเร็ว ทันสถานการณ์ และถูกใจประชาชน เพื่อให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลกลับคืนมา
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่