‘รักชาติ’สไตล์‘บิ๊กตู่’

ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของจีนช่วงนี้ ทั่วโลกมองว่าเป็นการจัดระเบียบสังคมใหม่ นักวิเคราะห์บางคนถึงกับบอกว่า นี่อาจเป็นการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม 2.0” ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงก็ได้

มีการจัดระเบียบตั้งแต่ธุรกิจไฮเทค, การควบคุมกิจกรรมของมหาเศรษฐี, การห้ามเด็กจีนเล่นวิดีโอเกมเกินสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง และล่าสุดการจัดระเบียบวงการบันเทิงครั้งใหญ่

ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว ข่าวที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก คือ การที่แจ๊ก หม่า ผู้ก่อสร้างกลุ่ม Alibaba ถูกทางการสอบสวนว่าด้วยการที่เครือข่ายธุรกิจยักษ์ของเขาขยายตัวกว้างขวางจนเกิดการผูกขาด

การ “ลงโทษ” แจ๊ก หม่า โดยผู้มีอำนาจของปักกิ่ง ไม่เพียงรัฐบาลจีนได้ส่งสัญญาณบอกมหาเศรษฐีเหล่านี้ว่า ความมั่งคั่งที่พวกเขาสั่งสมขึ้นมานั้นเป็นเพราะคนจีนสนับสนุน แต่ได้เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนอย่างมโหฬาร

Advertisement

ความเหลื่อมล้ำที่เห็นชัดเจนระหว่างกลุ่มคนที่ร่ำรวยทันตาเห็นในจีนกับชนชั้นกลางและระดับรากหญ้า ทำให้รัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์จีนเริ่มกริ่งเกรงว่า หากปล่อยให้แนวโน้มเช่นนี้เดินหน้าต่อไป อาจกระทบความเชื่อถือและศรัทธาต่อพรรคคอมมิวนิสต์

“สี จิ้นผิง” ให้คำมั่นว่าจะ “ปรับรายได้ที่มากเกินไปของคนรวยในประเทศ” เพื่อเตือนชนชั้นสูงของประเทศว่า รัฐมีแผนจะกระจายความมั่งคั่ง เพื่อจัดการกับความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดขึ้นในสังคม

รัฐบาล “ควบคุมรายได้ที่สูงเกินไป และสนับสนุนให้กลุ่มและธุรกิจที่มีรายได้สูงคืนกำไรสู่สังคมมากขึ้น”

Advertisement

ผู้นำจีนประกาศจะควบคุมรายได้คนรวยเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
ในประเทศ จะดำเนินการตาม “วาระความมั่งคั่งร่วมกัน” ซึ่งได้กลายเป็นจุดสนใจหลักของการกำหนดนโยบายของจีน

เป็นที่น่าสังเกตว่า บริษัทเกมและโซเชียลมีเดีย อาทิ Tencent หนึ่งในกลุ่มเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของจีน ประกาศจะขยายส่วนงานคืนกำไรให้สังคมมากขึ้น ประกาศบริจาคเงินถึง 7,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนและความไม่เท่าเทียมทางการศึกษาของจีน

“พินตัวตัว” (Pinduoduo) ผู้ให้บริการค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ของจีน ได้ประกาศบริจาค “ผลกำไรทั้งหมด” ของบริษัทในไตรมาส 2/2021 มูลค่า 372 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโครงการพัฒนาภาคการเกษตรในพื้นที่ชนบทของจีน และยังตั้งเป้าจะบริจาคในส่วนอื่นๆ เพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

พรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามที่จะควบคุมมหาเศรษฐี เพราะในขณะที่ภาคเอกชนและความมั่งคั่งของประเทศภาพรวมพุ่งสูงขึ้น ในปี 2019 จำนวนมหาเศรษฐีชาวจีนสามารถแซงหน้าชาวอเมริกันได้เป็นครั้งแรก แต่ปรากฏว่า ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน คนชนบทและคนเมืองในจีนกลับแย่ลง

หันกลับมามองประเทศไทย ล่าสุด ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบีธนชาต ระบุว่า หนี้ครัวเรือนไทยปัจจุบันอยู่ในภาวะเปราะบาง นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 หนี้ครัวเรือนของไทยมีการปรับตัวสูงมากขึ้น โดยเพิ่มขึ้นจาก 80% ของจีดีพี ณ สิ้นปี 2562 เป็น 90.5% ของจีดีพี ณ ไตรมาส 1/2564 และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศระลอกสามที่ลุกลามยืดเยื้อมาจนถึงครึ่งหลังของปี 2564 คาดการณ์ว่า ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยอาจเพิ่มขึ้นไปถึง 93.0% โดยไทยมีปริมาณหนี้ครัวเรือนอยู่อันดับที่ 17 ของโลก

รายงาน The Credit Suisse Global Wealth Report 2018 เคยระบุว่า คนไทย 1% ถือครองความมั่นคั่ง หรือมีทรัพย์สินรวมถึง 66.9% ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ เท่ากับว่า คนไทยถึง 99% ถือครองทรัพย์สินเพียง 33.1 ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นว่า ไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงมากเป็นอันดับ 1 ของโลก

ขณะที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานว่า สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย พิจารณาในส่วนของผู้ที่มีรายได้มากที่สุดแตกต่างจากผู้ที่มีรายได้น้อยสุดกว่า 20 เท่า โดยมีกลุ่มคนชนชั้นกลางอยู่ประมาณ 35% สะท้อนถึงการกระจุกตัวของรายได้ในกลุ่มบน และการแบ่งปันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ยังไม่ทั่วถึงไปสู่คนกลุ่มล่าง

ไม่แปลกใจหากในอนาคตคนจีนอาจยกย่อง “สี จิ้นผิง” คือรัฐบุรุษของชาติ คนประเภทนี้ไม่ต้องพูดพร่ำเพรื่อว่า รักชาติ แต่ความรักนั่นดูได้จากการกระทำต่อชาติและประชาชนของประเทศ

เมื่อมาพินิจ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯที่มักคุยโวโอ้อวดว่า “รักชาติจนล้นหัวใจ” แต่การกระทำมันสวนทางกับความรักที่มอบให้ชาติ เพราะตั้งแต่ยึดและรวบอำนาจเข้ามา นโยบายและสัญญาที่มอบให้ไว้กำลังนำพาประเทศสู่หายนะ

กลายเป็นประเทศที่กำลังไร้อนาคตอย่างสิ้นเชิง

โกนจา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image