คอลัมน์เดินหน้าชน : เด็กไทย(ไร้)อนาคต

คอลัมน์เดินหน้าชน : เด็กไทย(ไร้)อนาคต

คอลัมน์เดินหน้าชน : เด็กไทย(ไร้)อนาคต

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม มอบคำขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2565 ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มกราคม 2565 ให้กับเด็กๆ เยาวชนไทย เพื่อเป็นข้อคิดคติเตือนใจกับอนาคตของชาติว่า “รู้คิด รอบคอบ รับผิดชอบต่อสังคม”
ผมค้นคำขวัญวันเด็ก 7 ครั้งไล่ตั้งแต่ปี 2558 หลังเกิดการรัฐประหาร

ปี 2558 “ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต”
ปี 2559 “เด็กดี หมั่นเพียร เรียนรู้ สู่อนาคต”
ปี 2560 “เด็กไทย ใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง”
ปี 2561 “รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี”
ปี 2562 “เด็ก เยาวชน จิตอาสา ร่วมพัฒนาชาติ”
ปี 2563 “เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย”
ปี 2564 “เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดี มีคุณธรรม”

คำขวัญเหล่านี้มันสะท้อนมุมมองของผู้นำว่ามีวิสัยทัศน์มองประเทศชาติและสังคมโลกอย่างไร

Advertisement

ผมมองว่าทารกที่เกิดในปี 2557 นับตั้งแต่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจมา ช่วงเวลา 8 ปีจากทารกกลายเป็นเด็กที่เข้าสู่ระบบการเรียนชั้นประถมศึกษาแล้ว คนเป็นพ่อแม่ที่อยู่ภายใต้รัฐบาล “บิ๊กตู่” คงคิดได้ว่าหากประเทศเป็นเช่นนี้ อนาคตของลูกจะเป็นเช่นไร

ไม่ต่างกับคนในแวดวงการเมือง ช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ยาวนานจนนักการเมืองรุ่นเก่าๆ เริ่มผลัดใบส่งไม้ต่อมายังรุ่นลูกรุ่นหลาน ซึ่งแทบทุกคนมีดีกรีไม่ธรรมดา เชื่อว่าเราสามารถคาดหวังจากนักการเมืองรุ่นใหม่นี้ได้ว่าจะสามารถเข้ามาเปลี่ยนผ่านอนาคตของประเทศ

ผมขอยกตัวอย่าง พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ที่กำลังผลัดใบส่งผ่านดีเอ็นเอการเมืองมายังรุ่นลูก พชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยในขณะนี้

Advertisement

ดีเอ็นเอด้านเศรษฐกิจที่ส่งต่อมายังลูก ซึ่งออกมากระทุ้งและชี้แนะรัฐบาลให้มองโลกอย่างเท่าทัน

“พชร” กระทุ้งรัฐบาลว่า พยายามขายฝันว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะขยายได้ 4% อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้หัดบวกเลขให้เป็น โดยในปี 2563 เศรษฐกิจไทยติดลบ -6.1% ปีนี้น่าจะขยายได้ประมาณ 1% เท่านั้นทั้งที่ตอนต้นปีก็บอกเหมือนกันว่า เศรษฐกิจไทยจะโต 4% แต่สิ้นปีเหลือเพียง 1% ซึ่งปีหน้าถ้าขยายได้ 4% จริง เมื่อรวมกับปีนี้ก็ยังน้อยกว่าที่ตกลงมา แสดงถึงประเทศไทยถอยหลังและอยู่กับที่มา 3 ปีติดกัน ในขณะที่ประเทศอื่นขยายตัวแล้วก้าวกระโดดไปแล้ว เช่น สหรัฐ ปีที่แล้ว ติดลบ -3.5% แต่ปีนี้จะขยายตัว 5.5% ประเทศจีนปีที่แล้วไม่ติดลบแถมขยายตัวได้ 2.3% ปีนี้อาจจะโตถึง 8% อีกทั้งเวียดนามปีที่แล้วก็ไม่ติดลบโดยบวกได้ 2.91% ปีนี้น่าจะขยายตัวได้ประมาณ 4% ในขณะที่ไทยยังไม่กลับคืนที่เก่าเลย ประชาชนถึงได้ลำบากขัดสนกันอย่างมาก แต่รัฐบาลกลับโวว่าเป็นผลงานทั้งที่ยังติดลบ

ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) การขาดแคลนชิปชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้การผลิตรถยนต์ การผลิตโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ ฯลฯ มีปัญหาอย่างมากและต้องล่าช้า แม้กระทั่งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง แอปเปิล โตโยต้า หรือฮอนด้า ก็ประสบปัญหานี้ นอกจากนี้ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนก็เป็นปัญหาใหญ่ รวมถึงปัญหาระหว่างจีนกับไต้หวัน ที่อาจจะเป็นชนวนของความขัดแย้งของโลกครั้งใหม่ได้ ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และสินค้าต่อเนื่อง เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ รถยนต์ ฯลฯ ผลคือประเทศที่ผลิตสินค้าต่างๆ ต้องการจะสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทั้งหมดภายในประเทศเองเพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนในอนาคต อีกทั้งไต้หวันเองอาจจะต้องย้ายฐานการผลิตเพื่อกระจายความเสี่ยงจากความขัดแย้งกับจีน จึงเป็นทั้งวิกฤตและโอกาสของประเทศไทย

นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวของไทยที่จะสร้างตำแหน่งของตัวเอง ให้เป็น Hi-Tech Manufacture hub แห่งใหม่เพื่อเสริม เซินเจิ้น ซึ่งกำลังจะถึงจุดอิ่มตัวและประสบปัญหาภาพรวมทางการเมืองระหว่างประเทศ แต่ถ้าหากไทยตกขบวน และหากเวียดนามหรืออินโดนีเซีย ยึดตำแหน่งนี้ไปได้แล้ว ประเทศไทยก็จะยากลำบากในอนาคต

เห็นหรือยังว่านักการเมืองหรือเด็กรุ่นใหม่ๆ มองโลกไปไกลกว่าผู้นำที่ยังวนเวียนกับคำว่า “คุณธรรม-สามัคคี-หน้าที่พลเมือง-รวมไทยสร้างชาติ” หากเราสร้างประเทศให้เป็นสังคมที่ดี ไม่เหลื่อมล้ำทั้งทรัพยากรและเศรษฐกิจ ระบบยุติธรรมที่มีมาตรฐาน และการเมืองที่ฟังเสียงของประชาชน สิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นเองหากกลไกมันไม่บิดเบี้ยว

แต่การรัฐประหารและผู้นำจากทหารได้รับการพิสูจน์จากประวัติศาสตร์โลกว่า มันทำให้ประเทศชาติถดถอยและล้าหลังเสมอ

โกนจา

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image