ย้อนสมรภูมิ ‘ผู้ว่าฯกทม.’ สู้เดือดครึ่งศตวรรษ

ย้อนสมรภูมิ ‘ผู้ว่าฯกทม.’ สู้เดือดครึ่งศตวรรษ

 

ย้อนสมรภูมิ ‘ผู้ว่าฯกทม.’ สู้เดือดครึ่งศตวรรษ

อีกไม่ถึง 24 ชั่วโมงข้างหน้าก็จะถึงวันชี้ชะตาอนาคตคนกรุงเทพฯ ผ่านปลายปากกาของประชาชนคนเมืองหลวง

อาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2565 เลือกตั้งผู้ว่าราชกรุงเทพมหานครครั้งแรกหลังรัฐประหาร 2557

Advertisement

ย้อนกลับไปในอดีต ประวัติศาสตร์กรุงเทพฯ มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองมาหลายครั้ง ตั้งแต่การตั้ง ‘เทศบาลนครกรุงเทพ’ และ ‘เทศบาลนครธนบุรี’ ก่อนควบรวมทั้ง 2 เทศบาล เป็น ‘เทศบาลนครหลวง’ ในปี พ.ศ.2514 ภายใต้การควบคุมของกระทรวงมหาดไทยโดยตรง

จนกระทั่งมีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 335 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ให้จัดรูปแบบการปกครองเป็น “กรุงเทพมหานคร” โดยรวมราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น รวมทั้งให้มีฐานะเป็นจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นข้าราชการมาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี และมีสภากรุงเทพมหานครมาจากการเลือกตั้งเขตละ 1 คน รวมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากการแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอีกจำนวนหนึ่ง

ผู้ว่าฯกทม.คนแรก มาจาก ‘การแต่งตั้ง’ นาม ‘ชำนาญ ยุวบูรณ์’

ชำนาญ ยุวบูรณ์ ผู้ว่ากทม.คนแรกในประวัติศาสตร์ มาจากการแต่งตั้ง ในพ.ศ.2516 (ภาพจากอนุสรณ์งานพระราชทานเพลิง คุณหญิงวลี ยุวบูรณ์ 24 กันยายน 2560)

ตั้งแต่ปี 2516 ผู้ว่าฯกทม.เป็นข้าราชการการเมืองที่มาจากแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) คือ วันที่ 1 มกราคม แต่งตั้ง ชำนาญ ยุวบูรณ์ ในยุคจอมพลถนอม กิตติขจร โดยมีประวัติการทำงานน่าสนใจ รับราชการเป็นตำแหน่งปลัดอำเภอคลองตาล (ศรีสำโรง) จ.สุโขทัย ตั้งแต่อายุ 20 ปี ขึ้นเป็นนายอำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร ในปี พ.ศ.2484 ต่อมาเมื่ออายุ 38 ปี ขึ้นเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ในปี พ.ศ.2495

ต่อมาเมื่ออายุ 43 ปี ขึ้นเป็นอธิบดีกรมมหาดไทย หรือกรมการปกครอง ในปัจจุบัน ตั้งแต่ พ.ศ.2500-2511 เป็นระยะเวลากว่า 12 ปี ถือว่าดำรงตำแหน่งอธิบดียาวนานที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งควบ นายกเทศมนตรีนครกรุงเทพ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2501-2511 และนายกเทศมนตรีนครธนบุรี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2502-2511

นอกจากนี้ ในปี พ.ศ.2512-2513 ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำสาธารณรัฐอาร์เจนตินา ก่อนจะกลับมาเป็นผู้ว่าฯกทม.คนแรก ในปี 2516 ซึ่งเป็นตำแหน่งหน้าที่สุดท้ายในทางราชการ

อย่างไรก็ตาม ในปีเดียวกัน เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2516 มีการแต่งตั้ง อรรถ วิสูตรโยธาภิบาล ขึ้นเป็นผู้ว่าฯ วันที่ 5 มิถุนายน 2517 แต่งตั้ง ศิริ สันติบุตร และวันที่ 1 พฤษภาคม 2518 แต่งตั้ง สาย หุตะเจริญ

ทั้งนี้ หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในปี พ.ศ.2516 รัฐได้แก้ไขรูปแบบการปกครองกรุงเทพมหานครให้เป็นการปกครองของประชาชนมากขึ้น ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2518 ให้กรุงเทพมหานครเป็นทบวงการเมือง มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นนครหลวง รวมทั้งกำหนดให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมาจากการเลือกตั้งเป็นฝ่ายบริหาร ดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี มีสภากรุงเทพมหานครเป็นฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อทำหน้าที่ออกกฎหมายของท้องถิ่น โดยสมาชิกสภากรุงเทพมหานครมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี

คนแรกจากเลือกตั้ง ‘ธรรมนูญ เทียนเงิน’

จากประชาธิปัตย์ แต่อยู่ไม่ครบเทอม

ธรรมนูญ เทียนเงิน ผู้ว่าฯ กทม. จากการเลือกตั้งคนแรก

ต่อมา วันที่ 10 สิงหาคม 2518 ธรรมนูญ เทียนเงิน จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.คนแรก ด้วยคะแนนเสียง 99,247 คะแนน ขณะนั้นมีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง เพียงร้อยละ 13.86 แต่นายธรรมนูญไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. จนครบวาระ 4 ปี เนื่องจากเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงทั้งในฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ จนไม่สามารถปฏิบัติงานได้ วันที่ 29 เมษายน 2520 ธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น จึงตัดสินใจใช้อำนาจตามมาตรา 21 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2519 ปลดธรรมนูญออกจากตำแหน่ง และให้กลับไปใช้รูปแบบการแต่งตั้งเช่นเดิม

นับจากเหตุการณ์ปลดธรรมนูญ ในปี 2520 กทม.มีผู้ว่าฯกทม.จากการแต่งตั้งอีก 4 คน คือ วันที่ 29 เมษายน 2520 ชลอ ธรรมศิริ วันที่ 4 กรกฎาคม 2522 เชาวน์วัศ สุดลาภา วันที่ 28 เมษายน 2524 พล.ร.อ.เทียม มกรานนท์ และวันที่ 6 พฤศจิกายน 2527 อาษา เมฆสวรรค์

4 แสน 7 แสน เทคะแนนเลือก ‘จำลอง’ ผู้ว่าฯ 2 รอบ

ข้าวมื้อแรกของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ในฐานะผู้ว่าฯกทม. ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (ภาพจาก นสพ.มติชน 9 มกราคม 2533)

กระทั่งวันที่ 18 กรกฎาคม 2528 สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 กำหนดให้ผู้ว่าฯกทม.มาจากการเลือกตั้งอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลักการสำคัญจากเดิมบางประการ กล่าวคือ ผู้ว่าฯกทม. มาจากเลือกตั้งโดยประชาชนเพียงคนเดียว และผู้ว่าฯกทม. จะไปแต่งตั้งรองผู้ว่าฯกทม.อีก 4 คน ซึ่งเดิมเป็นการเลือกตั้งทั้งคณะ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ว่าฯกทม.มีเอกภาพในการบริหารเพื่อแก้ไขสภาพปัญหาที่เคยเกิดขึ้น นอกจากนี้ กฎหมายฉบับนี้ยังได้กำหนดหลักการการพ้นจากตำแหน่งของผู้ว่าฯกทม. โดยให้สภากรุงเทพมหานครมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของสมาชิกทั้งหมดของสภายื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแทน

โดยเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2528 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จาก ‘กลุ่มรวมพลัง’ ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.ด้วยคะแนนเสียง 408,237 คะแนน มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 34.65 และอยู่จนครบวาระ ต่อมา วันที่ 7 มกราคม 2533 พล.ต.จำลองลงสมัครผู้ว่าฯกทม.อีกครั้งในนาม ‘พรรคพลังธรรม’ ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 703,672 คะแนน มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 35.85 แต่รอบนี้ พล.ต.จำลองอยู่ไม่ครบวาระ ลาออกไปเล่นการเมืองระดับชาติ

พิจิตต ปชป. พ่าย กฤษฎา ก่อนทวงคืนชัยชนะภายใต้กลุ่ม ‘มดงาน’

ร.อ.กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยาได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 363,668 (ภาพจาก นสพ.ข่าวสด 20 เมษายน 2535)

ต่อมาวันที่ 19 เมษายน 2535 ร.อ.กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา รองผู้ว่าฯกทม.ในสมัย พล.ต.จำลอง จึงลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.แทน โดยไม่สังกัดกลุ่มใด แต่ยังอยู่ภายใต้การสนับสนุนของ พล.ต.จำลอง ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 363,668 คะแนน มีผู้ใช้สิทธิเพียงร้อยละ 23.02 และครั้งนี้ มี ดร.พิจิตต รัตตกุล ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วยในนาม ‘พรรคประชาธิปัตย์’ แต่ต้องพ่ายแพ้ให้แก่ ร.อ.กฤษฎา

วันที่ 3 มิถุนายน 2539 ดร.พิจิตตลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.อีกครั้ง แต่รอบนี้ไม่สังกัดพรรค ใช้ชื่อ ‘กลุ่มมดงาน’ ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 768,994 คะแนนมีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งร้อยละ 43.53 และการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งมากถึง 29 คน โดยมีอดีตผู้ว่าฯกทม. 2 คน ที่ลงชิงเก้าอี้ด้วย คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ ร.อ.กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา ครั้งนี้ ดร.พิจิตตที่เคยพ่ายแพ้ ได้คะแนนมากกว่า พล.ต.จำลอง กว่า 2 แสนคะแนน และมากกว่า ร.อ.กฤษฎา กว่า 5 แสนคะแนน ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าทั้ง พล.ต.จำลอง และ ร.อ.กฤษฎา ลงแข่งตัดคะแนนกันเอง ทำให้ ดร.พิจิตต ชนะการเลือกตั้ง

กว่าล้านคน เข้าคูหากาให้ ‘สมัคร’ นั่งผู้ว่าฯครบ 4 ปี

ลีลา สมัคร สุนทรเวช ผู้คว้าชัยด้วยคะแนนเสียง 1,016,096 อยู่ครบเทอม 4 ปี

วันที่ 23 กรกฎาคม 2543 สมัคร สุนทรเวช อดีตหัวหน้าพรรคประชากรไทย ลงชิงเก้าอี้ ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 1,016,096 คะแนน มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งถึงร้อยละ 58.87 และอยู่จนครบ 4 ปี ด้านผู้สมัครที่มีความโดดเด่นในการเลือกตั้งรอบนี้ ได้แก่ พันเอกวินัย สมพงษ์ อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ลงสมัครอิสระในนาม ‘กลุ่มคนรักเมืองหลวง’ พรรคประชาธิปัตย์ ส่ง นายธวัชชัย สัจจกุล อดีต ส.ส.กทม. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ลงสมัครอิสระใช้ชื่อว่า ‘กลุ่มกรุงเทพสดใส’ นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ลงสมัครในนามพรรคไทยรักไทย และนางปวีณา หงสกุล ลงสมัครในนามพรรคชาติพัฒนา

อภิรักษ์ คว้าชัย 2 รอบ ก่อนเจอพิษ ชี้มูลทุจริต จัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง

ครั้นวันที่ 29 สิงหาคม 2547 อภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งขณะนั้นเป็นพรรคฝ่ายค้านในรัฐบาล ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.ด้วยคะแนนเสียง 911,441 คะแนน ชนะคู่แข่งคือ ปวีณา หงสกุล ผู้สมัครอิสระ ที่มี พรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลในขณะนั้นสนับสนุน ได้รับคะแนนเสียงไป 619,039 คะแนน

ขณะที่ผู้สมัครคนอื่นๆ ที่โดดเด่น น่าสนใจ อาทิ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ร.ต.อ.นิติภูมิ นวรัตน์ ดร.พิจิตต รัตตกุล ดร.มานะ มหาสุวีระชัย ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ นายพีระพงศ์ ถนอมพงษ์พันธุ์ นางลีนา จังจรรจา ฯลฯ

แผ่นพับหาเสียง เบอร์ 1 อภิรักษ์ โกษะโยธิน ฉายา ‘หล่อเล็ก’

วันที่ 5 ตุลาคม 2551 อภิรักษ์ โกษะโยธิน พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.อีกครั้ง ด้วยคะแนนเสียง 991,018 คะแนน แต่อยู่ไม่ครบวาระ เพราะลาออกหลังจากถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในคดีทุจริตจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง

ไม่เลือกเรา เขามาแน่ สุขุมพันธุ์ เฉือน พงศพัศ

ทำลายทุกสถิติ แห่เข้าคูหา 63.38%

วันที่ 11 มกราคม 2552 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม. ด้วยคะแนนเสียง 934,602 คะแนน และประกาศลาออกก่อนครบวาระ 4 ปี เพียง 1 วัน เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่

วันที่ 3 มีนาคม 2556 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 ด้วยคะแนนเสียง 1,256,349 คะแนน มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เช่นเดียวกับคู่แข่ง คือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ได้ 1,077,899 คะแนน มาเป็นอันดับที่ 2 ทำลายสถิติของนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อปี 2543 ทั้งคู่

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร คว้าชัย (ภาพจาก นสพ.มติชน 4 มีนาคม 2556)

อีกทั้งสถิติของผู้ใช้สิทธิทั้งหมดยังสูงถึงร้อยละ 63.38 นับว่ามากที่สุดกว่าครั้งไหนๆ แต่ยังไม่ทันที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จะอยู่จนครบวาระในสมัยที่ 2 ก็ต้องพบข้อครหาทุจริตโครงการติดตั้งอุโมงค์ไฟประดับ

สู่ยุค คสช. ตั้ง ‘อัศวิน’ อยู่ยาว

ต่อมา วันที่ 25 สิงหาคม 2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 50/2559 ให้พักงาน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์จากตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.โดยไม่พ้นจากตำแหน่ง และต่อมา วันที่ 18 ตุลาคม 2559 ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ให้พ้นจากตำแหน่ง และวันเดียวกัน มีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯกทม.โดยกำหนดให้ดำรงตำแหน่งจนกว่าจะมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.หรือ คสช.มีคําสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นประการอื่น

ส่วนพรุ่งนี้ ใครจะคว้าชัยนั่งเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. จะพลิกล็อกหรือตามโผ จะมีเซอร์ไพรส์หรือเป็นไปตามโพล ต้องติดตาม!

** ข้อมูลและภาพส่วนหนึ่งจาก

1.‘การเลือกตั้งท้องถิ่นแบบถ่วงดุลการเมืองระดับชาติ : ศึกษากรณีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2547’ โดย นางสาววรินทร์ทร ปณิธานธรรม คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

2.วิทยานิพนธ์ “มุขภาพ แนวคิด และผลงานสำคัญของอธิบดีกรมการปกครอง : กรณีศึกษา ดร.ชำนาญ ยุวบูรณ์ พ.ศ.2500-2511” โดย วิชิต ชาญประเสริฐกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

3.อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิง ธรรมนูญ เทียนเงิน ฌาปนสถานวัดธาตุทอง พ.ศ.2532

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image