เจาะ ‘สนามกทม.-เมืองพัทยา’ ช่วงร้อยเมตรสุดท้าย ก่อนเปิดหีบ

เจาะ ‘สนาม กทม.-เมืองพัทยา’ ช่วงร้อยเมตรสุดท้าย ก่อนเปิดหีบ 

อีกไม่กี่ชั่วโมง หีบเลือกตั้ง 2 สนามท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ทั้ง กทม.และเมืองพัทยา จะเปิดขึ้น

ทิศทางการลงคะแนน ถูกจับตามองว่าจะสะท้อนภาพไปถึงการเมืองในระดับชาติหรือไม่ เพราะเป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นก่อนการเลือก “สนามใหญ่” จะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงปี ตามการหมดวาระของรัฐบาลชุดนี้

“มติชน” ชวน ผศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มาร่วมวิเคราะห์

  • ฉายภาพผู้สมัคร 6 กลุ่มย่อย ใน 2 ขั้วขัดแย้งใหญ่   

อาจารย์โอฬาร เริ่มฉายภาพว่า เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้สะท้อนภาพการเมืองใหญ่ ท่ามกลางความขัดแย้ง ดูได้จากผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มเหมือนเดิม คือ กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาล และกลุ่มฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล

Advertisement

จาก 2 ค่ายใหญ่แบ่งออกเป็น 6 กลุ่มย่อย อาทิ กลุ่มตรงข้ามฝ่ายรัฐบาลคือ พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็ยังมีความขัดแย้งกันเองในซีกฝ่ายค้านด้วยกัน ขณะเดียวกันกลุ่มใกล้ชิดรัฐบาล ยังแบ่งออกเป็นกลุ่มพลังทางการเมืองต่างๆ ที่สะท้อนการเมืองจริงคือ ตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์คือ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ส่วนกลุ่มที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง กลุ่มตัวแทนของพันธมิตร น.ส.รสนา โตสิตระกูล และตัวแทนของ กปปส.คือ นายสกลธี ภัททิยกุล

นี่จึงเป็นตัวสะท้อนได้เลยว่า จบเลือกตั้งการเมือง จะไม่สามารถย่อยสลายความขัดแย้งได้เลย

ดังนั้น เมื่อความขัดแย้งยังคงอยู่ การเลือกตั้งครั้งนี้ จึงมีการสร้างความตื่นตัวทางการเมืองสูงมากกว่าทุกครั้งด้วย 

Advertisement

จากประวัติศาสตร์ทางการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละคนได้มีการเสนอนโยบายอย่างมากมาย ในการจัดการปัญหากรุงเทพฯ อย่างมโหฬาร นอกจากนี้บทบาทภาคประชาชนได้มีการตื่นตัวกันอย่างมากมายเป็นพิเศษ ทำให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งจะต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับการตื่นตัวของชาวกรุงเทพฯ รวมทั้งบทบาทของสื่อมวลชนที่ทำให้การเมืองกับประชาชนใกล้ชิดกันมาก อาทิ การติดป้ายผิดที่ เมื่อมีการเสนอลงในโซเชียล ปรากฏว่าได้รับการแก้ไขทันที หรือกรณีชาวบ้านกล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ปรากฏว่า ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งต้องรีบลงไปฟังปัญหาทันทีเหมือนกัน

  • ชี้ปัญหา กทม. ปกครองรูปแบบพิเศษ ภายใต้รัฐราชการ 

แม้ว่า กทม.จะเป็นการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษ แต่ยังมีปัญหาข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย ที่ทำให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง และได้รับการเลือกตั้งไปแล้ว ไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายที่เสนอไว้กับประชาชนได้ เนื่องจากติดปัญหาในเรื่องโครงสร้างทางกฎหมาย เว้นแต่ผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.ไปแล้ว จะต้องไปแก้ไขกฎหมายหลายฉบับ เพื่อให้ กทม.มีอำนาจ ในการจัดการปัญหาตามนโยบายที่ได้หาเสียงเอาไว้

ดังนั้น ในมุมมองของ อาจารย์โอฬาร จึงเห็นว่า ประชาชนจะเป็นส่วนสำคัญมาก

“ถ้าตัดสินใจลงคะแนนให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเกี่ยวกับนโยบายไปแล้ว อยากให้มีการรวมตัวเป็นกลุ่มต่างๆ ในการติดตามนโยบายอย่างใกล้ชิด เพราะนโยบายของผู้ว่าฯกทม.คือสัญญาประชาคมที่มีต่อประชาชน ถ้าหากชนะการเลือกตั้ง จะต้องนำนโยบายที่ให้สัญญาประชาคมไว้กับประชาชนไปดำเนินการ แต่จะสำเร็จหรือไม่ ก็อยู่ที่ประชาชนต้องติดตาม กดดันให้เร่งแก้ไขปัญหา

“ที่ผ่านมา ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.มักลืมไปว่า กทม.ไม่ใช่การเมืองในรูปแบบพิเศษจริง เพราะยังอยู่ภายใต้อำนาจของกระทรวงมหาดไทย การบริหารราชการต่างๆ อยู่ภายใต้กฎระเบียบราชการจำนวนมากที่ล้าหลัง ทำให้เห็นว่า ผู้ว่าฯกทม.ทุกสมัย ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้มาก นอกจากปฏิบัติไปตามคำสั่งแต่ละวัน อยากจะพัฒนากรุงเทพฯให้ทะลุทะลวงต้องไปแก้กฎหมาย ให้เป็นการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษจริงๆ เพื่อให้ผู้ว่าฯกทม. มีอำนาจเต็มในการแก้ไขปัญหาให้กับคน กทม.”

  • เชื่อทุกพรรคส่งผู้สมัคร วัดกระแสเตรียม พร้อมสนามใหญ่

ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ จะสะท้อนไปสู่การเลือกตั้งสนามใหญ่หรือไม่นั้น อาจารย์โอฬาร มองว่า ตามที่กล่าวไปแล้วการเลือกตั้งครั้งนี้ จะสะท้อนภาพการเมืองออกเป็น 2 ขั้ว แต่ละกลุ่มพลังทางการเมือง จะได้รู้ฐานคะแนนการเมืองของกลุ่มตนเองจริงๆ ใน กทม. เพื่อที่เอาคะแนนจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ไปเป็นฐานข้อมูลในการวางยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง หรือ “บิ๊กดาต้า” แน่นอน

พรรคก้าวไกลจะได้รู้ว่า มีผู้ให้การสนับสนุนมากน้อยเพียงใด พรรคเพื่อไทยจะได้รู้ว่ายังมีคนนิยมพรรคเพื่อไทยหรือไม่ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว สถานการณ์การพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร รวมไปถึงพรรคพลังประชารัฐ กระแสนิยมตัว พล.อ.ประยุทธ์อยู่ตรงไหน เป็นต้น

จะเห็นด้วยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้สมัครหลายคนประกาศลงสมัครอิสระ ไม่สังกัดพรรค แต่ก็มีคำถามว่า ในความเป็นจริงอิสระมากน้อยเพียงใด อย่างนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เห็นว่าการลงสมัครในครั้งนี้ มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน หากคน กทม.เชื่อว่านายชัชชาติลงสมัครรับเลือกตั้งอิสระจริง แล้วเลือกนายชัชชาติ ทำให้มองว่าคน กทม. ให้ความสำคัญกับนโยบายมาก เพราะเป็นผู้สมัครที่มีการเสนอนโยบายมากที่สุด

แต่หากคน กทม.ไม่เชื่อ ไม่เลือกนายชัชชาติ เพราะการไม่เป็นอิสระจริง ทำให้มองว่าคน กทม.ยังมีความคิดทางการเมืองแบบเดิมๆ คือไม่ไว้วางใจพรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกตั้ง ส.ส.ในสมัยหน้าคือ ไม่เลือกพรรคเพื่อไทยก็ได้

  • ชี้กระแส “ประยุทธ์” วูบ มั่นใจผลโพล “ชัชชาติ” เข้าวิน

กล่าวสำหรับผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.นั้น อาจารย์โอฬาร มองว่า ส่วนตัวถ้าประเมินจากความคงเส้นคงวาของโพล ยังให้น้ำหนักที่นายชัชชาติ เนื่องจากยุทธศาสตร์การเลือกตั้งของฝ่ายตรงข้ามนั้น ยังใช้เหมือนการเลือกตั้งเมื่อปี 2556 มองดูแล้วใช้การไม่ได้ เพราะตอนนี้ฝั่งที่ใกล้ชิดหรือสนับสนุนรัฐบาล ในกลุ่มผู้สมัครเกิดความขัดแย้งกันเอง ไม่มีเอกภาพ

กล่าวคือ มีคำกล่าวว่า “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ในความหมายคือ ไม่รู้ว่าใครคือ “เขา” หรือใครคือ “เรา” คิดว่าหากไม่มีอภินิหาร ไม่มีคะแนนเสียงจัดตั้ง หรือวิธีการนอกระบบ

ดังนั้น ส่วนตัวให้น้ำหนักที่นายชัชชาติ เพราะเชื่อว่า ผลโพลคงเส้นคงวา

รองลงมาน่าจะเป็น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เพราะมีฐานของรัฐบาล ส่วนหนึ่งช่วงที่มีตำแหน่งนั้นยังมีเครือข่ายในเรื่องฐานคะแนนเสียงจัดตั้ง มีทั้งเครือข่ายข้าราชการ ฐานชุมชน และ ส.ก. ที่สำคัญอย่าลืม พล.ต.อ.อัศวินเป็นอดีตผู้บัญชาการนครบาลเก่า ซึ่งมีทั้งตำรวจและพวกใต้ดินสีเทาๆ ค่อนข้างมาก

ส่วน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคก้าวไกลนั้น มองว่ามีฐานคะแนนนิยมอยู่แล้วคือ นิวโหวตเตอร์ ที่คงเส้นคงวามาตลอด รวมทั้งกลุ่มคนชั้นกลางใหม่ที่ชอบนโยบายแบบท้าทาย คงไม่ได้คะแนนจากฐานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้กล่าวง่ายๆ คือ เลือกฝั่งรัฐบาล หรือฝั่งไม่เอารัฐบาล ที่สำคัญแต่ละข้างก็แตกกันเองทั้ง 2 ข้างอีกด้วย

หากกล่าวถึงผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในส่วนที่อยู่ฝั่งรัฐบาล และหวังผลในการเลือกตั้งครั้งนี้ อาจารย์โอฬาร ชี้ว่า หากวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์กระแสดีจริงๆ คงมีผู้สมัครบางคนโหนกระแสไปแล้ว

แต่ขณะนี้ไม่พบว่า มีใครโหนกระแสของรัฐบาล แสดงว่ารัฐบาลขาลงมาก จึงพบว่าไม่มีใครสร้างกระแสเกี่ยวกับรัฐบาลเลย การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในครั้งนี้ จะมีผลต่อรัฐบาลเป็นอย่างมาก หากพรรคพลังประชารัฐแพ้ในสนามเลือกตั้ง กทม. อาจจะต้องไปวางแผนยุทธศาสตร์ยึดที่นั่ง ส.ส.ในพื้นที่ต่างจังหวัด

  • เชื่อเลือก “นายกพัทยา” ตัวแทน “บ้านใหญ่” ยังได้เปรียบ

ส่วนการเลือกตั้งเมืองพัทยาครั้งนี้ ดูแล้วมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 80,000 คน แม้สื่อมวลชนจะประโคมข่าวกันอย่างมากมาย แต่ความตื่นตัวของประชาชนในพื้นที่พัทยายังเหมือนเดิม จะส่งผลให้กลุ่มที่ได้เปรียบทางการเมืองเกี่ยวกับคะแนนจัดตั้ง จะมีโอกาสได้รับการเลือกตั้งสูง หากมาใช้สิทธิเลือกตั้งประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ทุกครั้งที่ผ่านมา กลุ่มการเมืองที่มีเครือข่ายจะได้เปรียบมาก

นอกเสียจาก กลุ่มนิวโหวตเตอร์-กลุ่มชนชั้นกลางใหม่ ที่ไม่ได้อยู่ในเครือข่ายจัดตั้ง มาใช้สิทธิเลือกตั้งเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเมืองพัทยาได้ ถ้าดูฐานการมาใช้สิทธิของชาวเมืองพัทยาแบบเดิม คิดว่าการเลือกตั้งคงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร อยู่ในกลุ่มฐานการเมืองเดิม

อย่างไรก็ตาม อาจารย์โอฬาร ย้ำว่า โครงสร้างกรุงเทพมหานครกับเมืองพัทยา ซึ่งเป็นการปกครองในรูปแบบพิเศษเหมือนกัน มีปัญหาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเลือกใครมา จะติดปัญหาเหมือนกันหมด เนื่องมาจากระเบียบข้อกฎหมายล้าสมัย นอกจากนี้ยังพบว่า พัทยามีประชากรแฝงเยอะ ประมาณ 500,000 คน แต่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 80,000 คนเศษ ซึ่งประชากรแฝงไม่มีสิทธิตัดสินใจอะไรเลย นอกจากสะท้อนปัญหาได้เท่านั้น แต่แก้ไขไม่ได้ อาทิ น้ำท่วม ขุดเจาะถนนหนทาง การวางผังเมือง

ทั้งนี้ โดยส่วนตัวยังแปลกใจ “ผู้สมัครนายกเมืองพัทยา” ไม่มีใครชูธง ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากผู้นำเพียงอย่างเดียว แต่มาจากโครงสร้างในการบริหารงานด้วย การเรียกร้องให้เมืองพัทยาเป็นเมืองพิเศษจริงๆ

ในฐานะนักวิชาการมองว่า ได้เรียกร้องว่าอยากให้พัทยาเป็นเมืองพิเศษจริงๆ แต่ตัวผู้สมัครนายกเมืองพัทยา รวมทั้งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. ไม่เห็นปัญหานี้ แม้ว่าหลังจากได้รับการเลือกตั้งแล้ว จะเก่ง หรือวิเศษมาจากไหนก็ตาม หากไม่เข้าใจโครงสร้างของปัญหาที่กระทรวงมหาดไทยยังมีอิทธิพล กับเมืองพัทยาหรือกรุงเทพมหานคร จะส่งผลให้ปัญหาต่างๆ ไม่ได้รับการแก้ไข

“แปลกใจที่ไม่มีใครพูดว่า หากเข้ามาเป็นนายกเมืองพัทยา หรือผู้ว่าฯกทม.จะเคลื่อนไหว หรือขับเคลื่อนไปกับคนในเมืองพัทยา หรือ กทม. ให้เกิดการปฏิรูปให้เกิดเป็นเมืองพิเศษจริงๆ เพื่อให้มีงบประมาณ มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลคนพัทยา หรือคนกรุงเทพฯ ได้อย่างรอบด้าน แต่ไม่เห็นว่ามีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งนายกเมืองพัทยา หรือผู้ว่าฯกทม.กล่าวถึงเลย แล้วปัญหาจะแก้ไขได้อย่างไร” 

  • มองผู้สมัคร “คณะก้าวหน้า” คนหนุ่ม แต่ถูกภาพ “ธนาธร” กลบ

การเลือกตั้งนายกเมืองพัทยาครั้งนี้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้สมัครหมายเลข 1 กลุ่มเรารักพัทยา เป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์ มีความสามารถในการสื่อสารกับสังคม มีต้นทุน มีโปรไฟล์ที่ดี ทั้งสังคมและครอบครัว ซึ่งเป็นจุดแข็ง ถึงแม้จะอยู่ในเครือข่ายตระกูล “คุณปลื้ม”

แต่การเว้นระยะห่าง ทำให้เห็นว่า นายปรเมศวร์ มีความเป็นตัวของตัวเองมาก เมื่อเปรียบเทียบกับ นายกิตติศักดิ์ นิลวัฒนโฒชัย ผู้สมัครหมายเลข 3 จากคณะก้าวหน้า เสียดายเหมือนกันว่า เป็นคนรุ่นใหม่ อยากทำงาน แต่โดนภาพของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มาปิดไว้ จึงเป็นจุดอ่อนเรื่องการสื่อสาร

ส่วน นายศักดิ์ชัย แตงฮ่อ ผู้สมัครอิสระหมายเลข 2 เป็นอดีตข้าราชการ มีความสามารถประสบการณ์เยอะ แต่อย่าลืมว่า ช่วงเป็นข้าราชการมีคนพินอบพิเทา เมื่อทำงานทางการเมืองต้องอาศัยความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ อาศัยเครือข่าย ซึ่งเป็นข้อจำกัด แม้จะไม่ได้รับการเลือกตั้ง อาจมีผลทางอื่น คือ ได้คะแนนต้นทุน หากต้องการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เพื่อก้าวต่อไปทางการเมือง

ขณะที่ นายสินธ์ไชย วัฒนศาสตร์สาธร ผู้สมัครหมายเลข 4 กลุ่มพัทยาร่วมใจ เรื่องนี้ยังงงเหมือนกัน ทำไม นายนิรันดร์ วัฒนศาสตร์สาธร ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเอง ทั้งที่เปิดตัวมานาน

“ทำให้คิดว่า หากนายนิรันดร์ลงสมัครนายกเมืองพัทยา อาจไม่ได้รับการเลือกตั้ง หรือมองดูแล้วเหมือนจะฮั้วกับบ้านใหญ่ เพราะเคยอยู่บ้านใหญ่มาก่อน จึงต้องนำน้องชายมาลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ยอมรับว่าผู้สมัครสมาชิกเมืองพัทยาเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา ทำให้ได้เปรียบไม่น้อยเหมือนกันของกลุ่มนายสินธ์ไชย แต่ผมมองว่าความได้เปรียบเป็นนายปรเมศวร์ ส่วนสมาชิกสภาเมืองพัทยาคิดว่ามีความหลากหลาย”

  • ฝาก “คนพัทยา” ถ้าอยากเปลี่ยนขั้ว ต้องออกมาใช้สิทธิมากๆ 

อาจารย์โอฬาร ทิ้งท้ายว่า อยากจะฝากการเลือกตั้งเมืองพัทยา เมื่อผู้สมัครนายกเมืองพัทยาเสนอนโยบาย อยากให้ผู้สมัครที่ได้รับการเลือกตั้งแล้วนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ อยากให้ประชาชนติดตามนโยบาย เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ ประชาชนต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่านี้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องไปออกไปใช้สิทธิให้ทะลุทะลวง 70-80 เปอร์เซ็นต์ หากไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเหมือนที่ผ่านมา การเมืองจะไม่เปลี่ยน

ที่สำคัญอยากฝาก กกต.ว่า พัทยามีประชากรแฝง 5 แสนคน ที่ใช้ชีวิตความเป็นจริง แต่ไม่มีสิทธิเลือกตั้งอันตรายมาก จะส่งผลให้มีการควบคุมฐานคะแนนเสียงได้ง่าย

ประชากรแฝงเหล่านี้จะต้องมีวิธีการจัดการให้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้มีส่วนร่วมพัฒนาเมืองพัทยา ไม่ว่าจะเป็นวินจักรยานยนต์รับจ้าง เจ้าของเตียงผ้าใบ ลูกจ้างร้านอาหาร

เรื่องนี้ กกต.ต้องคิด ! 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image