‘ภิญญพันธุ์’ เย้ย อยากดันนร.ไทยไปพลเมืองโลก แต่ครูไม่เก็ต ‘สิทธิมนุษยชน’ เด็กยังตากแดดหน้าเสาธง

'ภิญญพันธุ์' เย้ย อยากดันนร.ไทยไปพลเมืองโลก แต่ครูไม่เก็ท 'สิทธิมนุษยชน' เด็กยังตากแดดหน้าเสาธง

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ที่มิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ในงาน SUMMER BOOK FEST 2022 เทศกาลหนังสือฤดูร้อน ครั้งที่ 2 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศเวลา 14.00 น. ที่เวทีกลาง ซึ่งสำนักพิมพ์มติชนจัดเสวนาเนื้อในหัวข้อ “เป็นนักเรียนไทยจึงเจ็บปวด เครื่องแบบ ทรงผม หน้าเสาธง และไม้เรียว” ดำเนินรายการโดย นายธนวรรธน์ สุวรรณปาล หรือครูทิว แอดมินเพจครูขอสอน โดยมีผู้สนใจร่วมฟังเสวนาเป็นจำนวนมาก

รศ.ดร.ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ผู้เขียนหนังสือ ‘เครื่องแบบ ทรงผม หน้าเสาธง และไม้เรียว : ประวัติศาสตร์วินัยและการลงทัณฑ์ในโรงเรียน’ ซึ่งเป็นเล่มขายดีอันดับ 1 ต่อเนื่องหลายวันของบูธมติชน

กล่าวถุงจุดเริ่มต้นในการเขียนหนังสือดังกล่าวว่า เกิดจาก 2 ประเด็นใหญ่เรื่องการศึกษา คือ 1.มิติครู และ 2.มิตินักเรียน คิดว่าเราทุกคนเติบโตมาในโรงเรียน ได้เรียนรู้ มีประสบการณ์ มีความ ‘อิหยังวะ?’ ในโรงเรียนแตกต่างกัน มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ในฐานะ ‘ลูกครู’ ก็จะมีความสัมพันธ์ทางอำนาจ มากกว่าคนชายขอบที่ถูกอำนาจกระทำมากกว่า

ด้านหนึ่ง สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ต้องเขียน คือการลุกขึ้นสู้ของนักเรียน ในปี 2563 ซึ่งเราอยู่ในต่างจังหวัด ช่วยอะไรเขาไม่ได้ สิ่งที่ถนัดในฐานะนักวิชาการ สิ่งที่พอทำได้คือการส่งเสียงออกไปสนับสนุน เชียร์อัพเหล่านักเรียน เพราะเด็กๆ ทำสิ่งที่เราอยากจะทำ แต่ทำไม่ได้

Advertisement

“หนังสือเล่มนี้ บอกได้เลยว่าเกิดจากการจุดประกาย การต่อสู้ของนักเรียนทั้งหลาย แน่นอนว่าเกิดจากงานวิจัยมาก่อน แต่ต้นตอจริงๆ เกิดจากประสบการณ์วัยเด็กของพวกเราขณะเดียวกันคือด้านที่เรารู้สึกอึดอัดแต่ไม่รู้จะไปอย่างไร ประสบการณ์ที่เด็กลุกขึ้นมา ยิ่งใหญ่มาก จนเราละเลยสิ่งเหล่านั้นไม่ได้” รศ.ดร.ภิญญพันธุ์กล่าว

เมื่อนายธนวรรธน์ หรือครูทิว ถามว่างานเขียนชิ้นนี้ได้ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจมากขึ้น จากที่เรามองข้ามไปในระบบการศึกษา ใจความหลักของหนังสือที่พยายามบอกเล่า หรือทำความเข้าใจกับผู้อ่าน คืออะไร ?

รศ.ดร.ภิญญพันธุ์เปิดเผยว่า ชื่อหนังสือ ‘เครื่องแบบ ทรงผม หน้าเสาธง ไม้เรียว : ประวัติศาสตร์วินัยและการลงทัณฑ์ในโรงเรียน’ เหมือนจะเรียงตามบทด้วยซ้ำ ด้านหนึ่งคือเรื่องภายนอก อย่างระเบียบทรงผม การแต่งกาย แต่ความจริงแล้วถูกควบคุมไว้ ตนพยายามรวมไว้ในชื่อ ‘ระเบียบวินัยฉบับวัฒนธรรม’ ซึ่งย่อมาจาก รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม เราสงสัยมากว่า ในระบบการศึกษาไทยทุกวันนี้ แม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการจะพยายามออกระเบียบคำสั่งว่า ‘ผมไว้ยาวได้’ แต่บางโรงเรียนก็กล้าจะขัดคำสั่ง ขัดระเบียบกระทรวง ซึ่งเกิดขึ้นมายาวนาน มันจริงหรือไม่ ตนว่าไม่จริง ปัญหาสำคัญคือ ‘ระเบียบวินัยเชิงวัฒนธรรม’ ที่เข้ามาเป็นแกนกลาง จัดการความชอบธรรมของครูและโรงเรียน ดังนั้น เครื่องแบบ-ทรงผม จึงเป็นวินัยภายนอกที่จะเข้ามาควบคุม

Advertisement

รศ.ดร.ภิญญพันธุ์กล่าวต่อว่า เครื่องแบบ ทรงผม คือสิ่งที่ถูกจับต้องได้ง่ายสุด ผู้ชายผมยาวขึ้นมานิดเดียว ก็เห็นชัดมาก วิธีควบคุมแบบนี้ทำให้ครูปกครองใช้อำนาจเข้ามาควบคุม ซึ่งไม่ได้ควบคุมอย่างเดียว แต่ตามมาด้วยการลงโทษ อย่างเบาคือ ตักเตือน อย่างร้ายแรงคือ ใช้ปัตตาเลี่ยนไถแล้วตีซ้ำ แสดงว่า นักเรียนถูกควบคุมด้วยกฎระเบียบ วันนี้เพื่อนโดน วันหน้าไม่รู้เราจะโดนหรือไม่ ระเบียบเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กๆ ที่ผมอาจจะไม่ยาวมากในสายตาเรา แต่ครูหลายคนมีวิจารณญาณที่ต่างกันมากว่าแค่ไหนยาว ทุกคนมีสิทธิจะ ‘นั่งเก้าอี้ดนตรีแห่งการลงทัณฑ์ของครู’ ได้เสมอ ทำให้เด็ก กล้าหรือกลัว ซึ่งเป็นการจับจ้อง

“สมัยผมก็คิดว่า อันนี้เป็นของนักเรียน อันนี้เป็นของครู เหมือนเราริบตัวตนของเราเข้าไปอยู่ใน โรงงาน โรงเรียนที่เข้าไปยึดกุมจิตใจ ทำลายความเชื่อมั่นของเราที่มีต่อตัวเอง กรณีโฆษณายาสระผมของบริษัท ทรงพลังมาก

รศ.ดร.ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ผู้เขียนหนังสือ ‘เครื่องแบบ ทรงผม หน้าเสาธง และไม้เรียว : ประวัติศาสตร์วินัยและการลงทัณฑ์ในโรงเรียน’

อีกเรื่องที่สำคัญมาก คือ ‘สเปซ’ (Space) การยืนหน้าเสาธง ประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศเดียวในโลก ที่ต้องไปเข้าแถวหน้าเสาธง มันคืออะไร โรงเรียนต่างจังหวัดจำนวนมากหน้าเสาธง คือที่ๆ เด็กต้องไปกลางแดด กลางฝน หรือลมหนาว ไปรับเอาทุกอย่างที่ไม่เป็นผลดีกับนักเรียน แต่ครูอยู่ใต้ต้นไม้ ยืนกางร่ม ยิ่งไปกว่านั้น หน้าเสาธง คือพื้นที่ของการประจาน ซึ่งการลงทัณฑ์สมัยใหม่ การประจานเขาไม่ทำกันแล้ว นี่คือการกลับไปยืนยันว่า เรายังอยู่ในยุคก่อนสมัย การลงทัณฑ์ไม่ได้คำนึงสิทธิมนุษยชน หรือความเป็นสมัยใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น

อยากพานักเรียนไทยไปเป็นพลเมืองโลก ถามจริง เอาอะไรมาโลก ครูยังไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนเลย คือปัญหามากๆ ที่หนังสือเล่มนี้จะทำให้ได้รู้ถึงประวัติศาสตร์การเข้าไปควบคุม กับบทสุดท้าย น้อยที่สุด แต่ชอบที่สุด คือบทที่เด็กลุกขึ้นมาสู้” รศ.ดร.ภิญญพันธุ์ระบุ

เมื่อถามว่า โรงเรียนคือภาพจำลองของสังคม ควรจะสร้างควาเป็นไปได้ใหม่ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม มองบริบทสังคมไทยมีส่วนออกแบบบระเบียบวินัย การลงโทษในโรงเรียน มากน้อยแค่ไหน ?

รศ.ดร.ภิญญพันธุ์กล่าวว่า เป็นผลกระทบโดยตรง โรงเรียนคือแบบจำลอง ที่รัฐต้องการจะสร้างนักเรียน ที่ตัวเองอยากได้ ถ้าเราดูวิธีฝึก หรือโครงสร้างทางการเสือง หลังปฏิวัติ 2475 เราอยู่ภายใต้การปกครองรัฐประหารกี่ปี่ ? เราสลับระหว่างรัฐทหารกับรัฐประชาชนมาตลอดเวลา เราอยู่ในพรมเผด็จการครึ่งใบ ดังนั้น เมื่ออุดมการณ์ของรัฐไม่จงรักต่อระบอบประชาธิปไตย สุดท้ายก็ต้องกลับมาเป็นเผด็จการอยู่ดี เมื่อประชาธิปไตยไม่มีวันชนะ คิดว่าโรงเรียน หรือครู จะอยากอยู่ฝั่งแพ้ หรือชนะ

“นี่คือสิ่งที่สร้างสังคม ก่อนหน้านี้การเฆี่ยนตีเด็ก ก่อนปี 2475 คือเรื่องปกติ ตอนนั้นเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี เขียนกลอน ที่พูดถึงการใช้ไม้เรียว ว่าเป็นวิธีที่สิ้นคิด ทันสมัยมาก ซึ่ง อ.ท่านนี้ จบอังกฤษมาด้วย หมายความว่าปี 2475 เริ่มมีไอเดีย การศึกษา การเรียนการสอน ว่าควรเลิกใช้ความรุนแรงในโรงเรียน

ช่วงสำคัญคือ ปี 2515 ช่วงของ ‘พระถนอม’ ซึ่งมีการออกกฎหมาย พูดถึงเรื่องทรงผม ก่อนหน้านั้นทรงผมไม่เคยถูกระบุในราชกิจจานุเบกษา เป็นการสถาปนาระเบียบวัฒนธรรมขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง ถามว่าเกี่ยวกับการเมืองอย่างไร หลัง 14 ตุลา 2516 มีการเรียกร้องให้ไว้ผมยาวได้ ตอนนั้นพลังนักศึกษาเกิดขึ้นจำนวนมาก ปี 2518 ก็มีการออกระเบียบว่า ไม่ต้องตัดผมเกรียนแล้ว แต่ตอนนี้เรากลับไปยึดฉบับปี 2515 ที่ต้องกลับไปตัดเกรียน คือปัญหาสำคัญที่อย่างไรก็ยึดโยงกับอุดมการณ์ทางการเมือง” รศ.ดร.ภิญญพันธุ์กล่าว และว่า

ระเบียบวินัย หนีไม่พ้นกับ ‘รัฐบาลอำนาจนิยม’ โดยปี 2540 คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้เกิดการเปิดโลกใหม่ ไทยเข้าสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ มีรัฐธรรมนูญ 40 กฎปี 2515 ถูกโละ เกิดกฎหมาย พ.ร.บ.เด็กและเยาวชน นี่คือหมุดหมายสำคัญ ที่สังคมไทยเริ่มเรียกร้องประชาธิปไตย พ่วงสิทธิมนุษยชน

รศ.ดร.ภิญญพันธุ์กล่าวต่อว่า สังคมบ้านเราเอื้อให้คนมีอำนาจทำอะไรก็ได้โดยไม่ถูกตรวจสอบ

“ถ้านักเรียนเป็นชนชั้น ก็คงเป็นชนชั้นล่างสุดในโรงเรียน ที่ครูเลือกจะลงโทษอย่างไรก็ได้ โดยอ้างว่า ต้องการสร้างพลเมืองที่ดี ที่ผ่านมาผู้ปกครองก็คิดเช่นกันว่า ไม้เรียว คือความรุนแรงแบบเดียวที่จะทำให้เด็กดีขึ้นได้ เด็กต้องฝึกระเบียบวินัย ไปเรียนลูกเสื้อ ยุวกาชาด เรียน รด.

“ตำรวจ ทหาร เกรียน 3 ด้าน มีอำนาจนำในสังคม ซึ่งควรจะอยู่ในระเบียบที่สุด แต่กลับกลายเป็นยกเว้น จนเป็นอาชญากรด้วยซ้ำ เราก็ตั้งคำถาม ซึ่งมันมีเหตุผลในการดำรงอยู่เหมือนกัน ด้านหนึ่งตามข่าวสาร จะเห็นว่ามีเด็กเลว เด็กก่ออาชญากรรมก็มี เราต้องทำให้เด็กเข้ามาอยู่ในกรอบ ในสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ระเบียบวินัยฉบับวัฒนธรรม มี 2 ด้าน คือ 1.ด้านเหตุผล และ 2.ด้านอารมณ์ของสังคม ซึ่งเป็นความชอบธรรมของสฤษดิ์ ในการควบคุม ด้านหนึ่งก็คือมรดก เป็นไอเดียการปกครอง สมัยสงครามเย็น ที่จะควบคุมเด็กด้วยการใช้ความรุนแรง

เราจะเห็นการใช้ ‘เด็กเอ๋ยเด็กดี’ ยุคนี้มี ‘ค่านิยม 12 ประการ’ รุ่นเราจะไม่เข้าใจ เพราะเพลงนี้เกิดขึ้นหลังมี คสช. ยึดอำนาจ 8 ปี ผ่านไป นักศึกษาทุกคนร้องได้หมด เป็นอะไรที่ฝังในหัวเด็กแล้วว่า ต้องมีวินัยอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเป็นปัญหามาก นี่คือความชอบธรรมทางด้านอารมณ์ของสังคม ด้วยการมองว่าจะเข้ามาเป็นภัยร้ายแรง การใช้ความรุนแรงจึงกลายเป็นเหตุ เป็นผล” รศ.ดร.ภิญญพันธุ์ชี้

หนังสือ ‘เครื่องแบบ ทรงผม หน้าเสาธง และไม้เรียว : ประวัติศาสตร์วินัยและการลงทัณฑ์ในโรงเรียน’

เมื่อนายธนวรรธน์ถามว่า ถ้าเราไม่ใช้ความรุนแรง จะควบคุมพฤติกรรมของคนอย่างไร จะมีวิธีการทำความเข้าใจความแตกต่าง ได้อย่างไรบ้าง ?

รศ.ดร.ภิญญพันธุ์มองว่า เวลาเราพูดถึงระเบียบวินัย เรามองเฉพาะปัจเจกว่าควรมีวินัย ใส่ชุด ตัดผมให้เรียบร้อย แต่ถ้ามองใรระดับสังคม คือ เราจะใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างไร เราอยากขับรถปาดก็ปาด หรือเอาเข้าจริง เราไม่ได้ถูกสอนระเบียบวินัยส่วนรวม อยู่แต่ในคอกว่า ต้องดูหน้า-ผมให้เรียบร้อย

“ต้องมีระเบียบวินัยในสังคม จะซื้อของร้านนี้ เปิดไฟจอด รถติดเป็นแถบ ได้หรือไม่ ? หรือการไม่หยุดตรงทางม้าลาย การคิดถึงระเบียบวินัยในสังคม มีหลายเรื่องที่ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ไม่ใช่โยนบาปมาที่นักเรียน หรือครูที่ตั้งใจ

หนังสือเล่มนี้ ถ้าถูกเผยแพร่ออกไป ถือว่าเป็นบัตรเชิญให้เราลุกขึ้นมาเปลี่ยนการศึกษาเพื่อลูกหลานของเราเอง ผมไม่เชื่อว่านายกฯ คนไหนจะมาเปลี่ยนการศึกษาในเร็ววัน แต่ต้องช่วยกัน ใส่พลังเข้าไป เราต้องสนับสนุนให้สมาคมผู้ปกครองมาเป็นปากเป็นเสียง แต่ทุกวันนี้ สมาคมผู้ปกครองเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับโรงเรียนให้เกิดการกดขี่นักเรียนด้วยซ้ำ เราต้องเปลี่ยนแปลงสมรภูมิภูมิโรงเรียน กระจายอำนาจการศึกษา ขอให้เล่มนี้เปรียบเสมือนบัตรเชิญให้เราลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงการศึกษาของเรา” รศ.ดร.ภิญญพันธุ์กล่าวทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image