ชู ‘ชาร์ลส์ ดาร์วิน’ พลังประชารัฐ พลังดูด ดุจดัง สันปันน้ำ

ยิ่งพรรคพลังประชารัฐขยายการดูดจาก “อดีต ส.ส.” ของพรรคเพื่อไทย ไปยังบรรดาสมาชิก นปช.หรือคนเสื้อแดง ยิ่งก่อให้เกิดความแจ่มชัด

แจ่มชัด 1 คือ การบ่อนเซาะ “เพื่อไทย”

ตราบใดที่การดูดยังวนเวียนอยู่แต่กับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา หรือแม้กระทั่งพรรคภูมิใจไทย

ก็ยากยิ่งที่ “เพื่อไทย” จะสั่นคลอน รวนเร

Advertisement

แจ่มชัด 1 คือ กระบวนการในการดูดมิได้หน่อมแน้มอย่างที่พรรคสามัคคีธรรมเคยกระทำ หากแต่ทวีความเข้มข้นพลันที่ทะลวงลึกไปยัง “คนเสื้อแดง”

นี่คือ ท่าที ท่วงทำนองในแบบ “ทหาร”

ต้องยอมรับว่า จังหวะก้าวหลังของการรุกไปยัง “คนเสื้อแดง” พร้อมๆ กับการนัดพบผู้นำ “ชาวนา” ยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐเอาจริง

นั่นก็คือ ดูดจริง ดูดสุดพลัง

หากศึกษาประวัติศาสตร์ทางการเมืองในอดีต การดูดจะดำเนินไปอย่างสะเปะสะปะ ไม่มี “เป้า” ที่แน่วแน่ และแน่นอน

แต่ระยะหลังวาง “ยุทธศาสตร์” อย่างชัดเจน

ความเป็นจริง กลยุทธ์เช่นนี้สัมผัสได้ตั้งแต่หลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 มาแล้ว นั่นเห็นได้จากการก่อปฏิบัติอันนำไปสู่การแยกตัวครั้งใหญ่ทางการเมือง

เห็นได้จากการเกิดขึ้นของ พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคประชาราช

พรรคการเมืองเหล่านี้ ล้วนแต่แยกตัวมาภายหลังการยุบพรรคไทยรักไทย แม้กระทั่งการฟื้นตัวอีกครั้งของพรรคชาติพัฒนา กระทั่งกลายเป็นพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ก็มาจากเหตุเดียวกัน

จึงไม่แปลกที่เมื่อยุบพรรคพลังประชาชนก็เกิดพรรคภูมิใจไทย

จากนี้จึงเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของพรรคพลังประชารัฐพร้อมกับยุทธการดูดโดยพุ่งไปยังพรรคเพื่อไทย จึงมิได้เป็นกลยุทธ์ใหม่

หากแต่นี่คือ ผลงานของรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557

กระนั้น ภายในกระบวนการ “พลังดูด” ก็ดำเนินไปอย่างที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สรุปอย่างรวบรัดยิ่งว่า ก่อให้เกิดผลดีต่อพรรคเพื่อไทย และ นปช.

นั่นก็คือ รู้ว่า “ใครเป็นใคร”

ความหมายในเชิงวิทยาศาสตร์สังคมก็คือ กระบวนการคัดสรรของธรรมชาติตามหลักการของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน

แต่ในทางการเมืองดำเนินไป 2 ด้าน

ด้าน 1 เป้าหมายอาจต้องการสร้างความอ่อนแอ รวนเร ปั่นป่วนให้กับพรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกัน ด้าน 1 กลับช่วยให้เกิดการกลั่นกรองภายในพรรคเพื่อไทย

จะเข้าใจบทสรุปนี้ ต้องเข้าใจต่อบทสรุป 2 บท

บท 1 มาจากบทกวี จิตร ภูมิศักดิ์ ที่ท่องกันขึ้นใจ “หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน จะทานหรือจะทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา”

บท 1 มาจากที่ว่า “ในยามยากย่อมพิสูจน์มิตรแท้”

ไม่ว่าการปรากฏขึ้นของ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ไม่ว่าการปรากฏขึ้นของ นายจำลอง ครุฑขุนทด ไม่ว่าการปรากฏขึ้นของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์

จึงตกอยู่ในแสงแห่งสปอตไลต์

ทาง 1 เป็นสปอตไลต์จากภายในพรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกัน ทาง 1 เป็นสปอตไลต์จากประชาชนในพื้นที่และในขอบเขตทั่วประเทศ

ภาพของ “นักการเมือง” และ “นักต่อสู้” ออกมาเป็นเช่นใด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image