วีรพงษ์ รามางกูร : เมื่อปากกระบอกปืนลดลง เสียงประชาชนก็ดังขึ้น

ทันทีที่ทหารลดปากกระบอกปืนลง เสียงของประชาชนก็เริ่มดังขึ้น เป็นเสียงที่สดใสมีชีวิตชีวา ไม่ใช่เสียงขู่ตะคอกที่ได้ยินแล้วหดหู่ อึดอัด ไร้ชีวิตชีวา ที่เป็นเสียงของนายพูดกับบ่าว เสียงของคนต่างชนชั้นวรรณะ เสียงของผู้ปกครองที่มีอำนาจสั่งการของคนเพียงหยิบมือเดียวให้ประชาชนคนส่วนใหญ่ปฏิบัติตาม ไม่ใช่เสียงของความเท่าเทียมกันตามหลักของสังคมประชาธิปไตย

ทุกวันศุกร์เป็นวันที่จะออกมาอบรม ออกมาสั่งสอนประชาชนให้เกลียดชังนักการเมือง เกลียดชังตัวแทนของตน ว่ากล่าวว่าเป็นคนเลว ชั่วช้า เห็นแก่ตัว ฉ้อราษฎร์บังหลวง ต่างกับกลุ่มของตัว ซึ่งเป็นกลุ่มของคนดีที่ตรวจสอบไม่ได้ ตรวจสอบไม่ได้เพราะองค์กรอิสระต่างก็แข็งตัวกันไปหมด ต้องรอให้พ้นจากอำนาจจึงจะรู้ว่าใครดี ใครไม่ดี มากน้อยกว่ากันอย่างไร

ผู้นำที่ไม่อาจตรวจสอบได้ก็มักจะมีคำครหาอยู่เสมอว่า ไม่กล้าลงจากหลังเสือเพราะกลัวเสือจะกัดเอา จึงต้องหาทางต่อท่ออำนาจที่จะอยู่ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

รูปแบบของการต่อท่ออำนาจเพื่อปูทางให้สามารถลงได้โดยไม่ถูกเสือกัดตาย ยังไม่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร เพราะจะลอกแบบจากอดีตก็คงทำได้ยาก เพราะสังคมไทยเปลี่ยนไปมาก การจะดำรงรัฐบาลเผด็จการทหารในเสื้อคลุมของประชาธิปไตยจะทำอย่างไร แม้ว่าในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ อาจจะใช้เสียงจากสมาชิกวุฒิสภาเข้ามาร่วมลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี แต่วุฒิสภาที่จะแต่งตั้งใหม่หน้าตาจะเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครคาดเดาได้ แม้ว่าคงจะมีหลายคนมาจากทหาร ทั้งที่ประจำการอยู่และที่เกษียณอายุไปแล้วก็ตาม

Advertisement

เมื่อมีการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการทหารบก ภาพและพฤติกรรมในการลงคะแนนเสียงของสมาชิกวุฒิสภาก็ย่อมจะเปลี่ยนไปด้วย ยังไม่ค่อยเห็นว่าใครจะยอมเป็นนั่งร้านให้นายเก่าอยู่ในอำนาจต่อไป โดยที่ตนเองไม่เหลืออะไรภายหลังจากที่ตนต้องเกษียณอายุราชการออกไป มีความจริงอยู่อีกอย่างหนึ่งก็คือ ผบ.ทบ.ทุกคนอยากเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยกันทั้งนั้น ทุกคน ถ้าเป็นได้และประชาชนยอมรับ

เมื่อรัฐบาลประกาศจะเดินตามแผนไปสู่ประชาธิปไตย หลังจากประเทศเสียเวลามาจะ 5 ปีแล้วโดยไม่มีอะไรก้าวหน้าเลย และกำลังจะทำทุกอย่างที่ตนใช้เป็นข้ออ้างในการทำปฏิวัติรัฐประหาร เป็นการถอยหลังกลับไปกว่า 20 ปี แต่การสร้างรัฐธรรมนูญที่จะดึงประเทศชาติกลับไปคราวนี้คงทำได้ยาก การที่สังคมมีชีวิตชีวาขึ้นเมื่อเริ่ม “คลายล็อก” ให้กลุ่มการเมืองเริ่มมีสิทธิมีเสียงอีก เริ่มสร้างสัมพันธ์กับมวลชนได้ แม้ว่าจะยังไม่ยอมให้ประกาศนโยบายหาเสียง ซึ่งไม่ทราบว่าเกรงกลัวอะไร

ขบวนการสร้างพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนนายกรัฐมนตรีให้ดำรงตำแหน่งต่อไป ได้เริ่มขึ้นโดยรัฐมนตรี 4 คนที่เปิดเผยตัวตนออกมาเพื่อจะเป็นตัวแทน จะสร้างพรรคที่เป็นแกนกลางที่จะเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนเดิม ดูแล้วบรรยากาศไม่คึกคักเท่าที่ควร กลายเป็นบรรยากาศหงอยๆ ตามเดิม ไม่น่าจะทำได้สำเร็จ ต้องคอยดูว่าเมื่อลดปากกระบอกปืนลงแล้วจะเกิดอะไรขึ้น

Advertisement

จากการสำรวจความเห็นของสำนักต่างๆ ผล ออกมาแปลกๆ คือคะแนนนายกรัฐมนตรีในฐานะบุคคลที่ชาวโพลขาประจำลงคะแนนให้นำโด่ง แต่เมื่อถามว่าจะลงคะแนนเสียงให้พรรคการเมืองใด คะแนนพรรคเพื่อไทยกลับนำโด่งอยู่ตามเดิม แต่ในกรุงเทพฯพรรคอนาคตใหม่กลับเป็นพรรคที่มีสีสันแซงหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงวันเลือกตั้ง กระแสความคิดทางการเมืองที่ทั้ง 2 ฝ่ายพยายามสร้างขึ้นก็คือ จะเอาเผด็จการหรือจะเอาประชาธิปไตย แค่ชูประเด็นจะพาประเทศชาติไปสู่สังคมเผด็จการที่ด้อยพัฒนาทางการเมือง หรือจะพาประเทศชาติไปสู่เส้นทางพัฒนาประชาธิปไตย

จะพาประเทศชาติจมปลักอยู่กับเผด็จการทหารแบบเดียวกับรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ที่ทำให้ประเทศพม่ากลายเป็น “คนป่วยของเอเชีย” ที่ล้าหลัง อดอยาก ประชาชนต้องหนีไปหางานทำในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งๆ ที่ประเทศพม่ามีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ประชาชนมีแต่ความแตกแยก ต้องทำสงครามกับชน
กลุ่มน้อยมาจนทุกวันนี้ เพราะทัศนคติที่คับแคบของกองกำลังทหารที่ผู้บังคับบัญชาเป็นคนเชื้อชาติพม่า ส่วนพลทหารเป็นคนเชื้อชาติอื่นที่เป็นชนกลุ่มน้อย ประเทศไทยกำลังจะเข้าแทนที่พม่าโดยนายพลเนวินและนายพลตาน ส่วย

รูปแบบการปกครองจึงเป็นสาระสำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน สำคัญที่จะต้องเป็นที่ยอมรับของประชาคมระหว่างประเทศ ถ้ามีผู้นำประเทศที่เล่น “จำอวด” ตลกโปกฮาไปวันๆ ประเทศชาติคงไปได้ไม่ถึงไหน

รู้สึกมีความชุ่มชื่นขึ้นเมื่อเห็นคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล และพรรคพวกนักการเมืองรุ่นใหม่ประกาศอุดมการณ์จัดตั้งพรรคและประกาศอย่างกล้าหาญว่า หนึ่ง ล้มล้างขัดขวางการต่อท่ออำนาจของเผด็จการทหารทุกวิถีทาง ซึ่งตรงกันข้ามกับอุดมการณ์ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ 4 รัฐมนตรีจะลาออกมาสร้าง สอง จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่ไม่เป็นประชาธิปไตยทั้งหมด และสาม จะลบล้างผลของการกระทำการปฏิบัติของคณะรัฐประหารทั้งหมด เพราะการกระทำหรือการปฏิบัติดังกล่าวมีรากฐานจากอำนาจที่ได้มาอย่างไม่ชอบธรรม ไม่ใช่ได้มาจากความยินยอมของประชาชน แต่ได้มาจากปากกระบอกปืน

ไม่ได้ต่อต้านกองทัพในฐานะสถาบันสำคัญที่ประเทศชาติจะขาดเสียมิได้ แต่ต่อต้านขัดขวางการกระทำของผู้นำกองทัพที่ไม่เคยเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ผู้เกิดมาเสมอภาพกัน ปฏิเสธความรู้ความสามารถในการปกครองตนเองของประชาชน

การตั้งพรรคการเมืองใหม่เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคที่มีแนวทางจะล้มล้างการต่อท่ออำนาจของเผด็จการ ต่างกับการตั้งพรรคการเมืองเพื่อเป็นฐานให้รัฐบาลสามารถต่อท่ออำนาจต่อไปได้ ที่ได้รับการสนับสนุนทั้งในแง่การเงินและในแง่การปกป้องคุ้มครอง ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย สามารถเอาเปรียบฝ่ายตรงกันข้ามได้ ดังเช่นกรณี “กลุ่ม 3 มิตร” เป็นต้น

เมื่อกระแสที่เป็นประเด็นในการเลือกตั้งเป็น “เอาเผด็จการ” หรือ “เอาประชาธิปไตย” ค่อนข้างแน่ กระแสเอาเผด็จการก็ย่อมจะเสียเปรียบตั้งแต่ยังไม่ออกวิ่ง คงจะไม่มีใครเชื่อว่าระบอบการปกครองประชาธิปไตยสามารถพัฒนาขึ้นมาได้โดยรัฐบาลเผด็จการ ไม่มีใครเชื่อว่า
ฮิตเลอร์ มุสโสลินี และนายพลโตโจ จะเป็นนักประชาธิปไตยได้ ไม่มีใครเชื่อว่าจะมีใครสามารถเปลี่ยนทัศนคติของจอมเผด็จการทั้ง 3 คนนี้ได้ แม้ว่าฝ่ายอักษะจะชนะสงครามโลกครั้งที่ 2

ขณะเดียวกันกระแสที่ชู “เอาประชาธิปไตย” ย่อมได้เปรียบ ทั้งในแง่หลักการ ทั้งในแง่กระแสของโลก แม้จะชะงักไปบ้างเพราะสหรัฐอเมริกาได้ประธานาธิบดีที่ป่วยทางจิตอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ตาม ก็คงจะเป็นกระแสความคิดชั่วคราวของชนชั้นสูงในอเมริกา โดยความช่วยเหลือของประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย กระแสเช่นว่าคงหายไปในไม่ช้า

กระแสสนับสนุนการต่อท่ออำนาจเผด็จการทหารไม่เคยทำได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นสมัยใด ในขณะที่ทำรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยนั้น อาจจะได้รับเสียงสนับสนุนอย่างล้นหลามก็เพราะประชาชนเข้าใจว่าจะมาอยู่ในอำนาจชั่วคราว เพื่อขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตามการสร้างข่าวสร้างกระแสขึ้นของฝ่ายที่ต้องการล้มล้างรัฐบาล เช่นคราวนี้ที่ประชาชนก็เข้าใจว่าจะอยู่เพียง 3 เดือน 6 เดือน เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ด้วยเหตุการณ์เอื้ออำนวยจึงอยู่มาได้ถึง 5 ปีแล้ว

การจะใช้เล่ห์อุบายความได้เปรียบทางการเมือง เพื่อเอาชนะการเลือกตั้งนั้นทำได้ไม่ง่าย ดังเช่นจอมพลถนอม และ พล.อ.สุจินดาเคยประสบมาแล้ว จะคอยดูกันต่อไป

ข้างหน้านี้ กระแสความต้องการประชาธิปไตยจะดังขึ้นเรื่อยๆ และจะเป็นกระแสที่มีชีวิตชีวา เป็นกระแสของความหวังใหม่ๆ หวังว่าเศรษฐกิจความเป็นอยู่ของคนรากหญ้าจะดีขึ้น ดีเหมือนที่เคยมีเคยได้มาแล้วในอดีต สัญญาที่เคยสัญญาว่าชีวิตจะดีขึ้น แต่ไม่เคยได้เห็น ไม่เคยเป็นความจริง อารมณ์คนไทยนั้นจุดติดยาก เมื่อติดแล้วก็หยุดยั้งไม่ได้ ต้องระวังอย่าให้จุดติด จุดสำคัญอยู่ที่เรื่องเศรษฐกิจ

ต้องระวังให้ดี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image