เมื่อพรรคอนาคตใหม่ออกมาเปิดเผยว่า สำนักงาน กกต.มีจดหมายแจ้งว่าห้ามรับบริจาคเข้าพรรคนั้น ทาง กกต.อ้างว่าเป็นกติกาที่มาจากคำสั่ง คสช. การดำเนินการได้หรือไม่ได้ต้องขออนุญาต ต่อมาพรรครวมพลังประชาชาติไทยออกเดิน “คารวะแผ่นดิน” เพื่อรับสมัครสมาชิกพรรค ท่ามกลางข้อสงสัยว่าพรรคการเมืองทำได้หรือไม่ ก็ได้รับการชี้แจงว่าทำได้ถ้าได้รับอนุญาต และทางพรรคก็ได้รับอนุญาตแล้วจึงดำเนินการได้ และอีกเหตุการณ์หนึ่งคือกรณีดำเนินการกับแร็พ “ประเทศกูมี” ที่อาจว่าขัดกับกฎกติกาจึงต้องดำเนินการ
ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นปัญหาที่ตามมา เพราะกติกาที่เจ้าหน้าที่ต้องทำตามนั้นเป็นกฎกติกาที่ออกมาจาก คสช. หรือไม่ก็เป็นกฎหมายที่ออกมาในยุค คสช. ที่ผ่านการพิจารณาของ “แม่น้ำ 5 สาย” ซึ่งไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากตัวแทนของประชาชนที่เป็นผู้ต้องอยู่ภายใต้การบังคับ สถานของคำสั่งหรือประกาศ คสช. กับสถานของกฎหมายที่ออกมาโดย “แม่น้ำ 5 สาย” จึงยืนอยู่ในลักษณะเดียวกัน นั่นคือ เป็นกฎกติกาที่ร่างขึ้นมาด้วยคนฝ่ายเดียว แต่ต้องการจะบังคับกับคนทุกฝ่าย ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาและต้องบังคับใช้กฎกติกานั้น ประเด็นเรื่องความเป็นธรรมจึงถูกหยิบยกขึ้นมาอยู่เสมอ
แม้ว่าทุกครั้งที่ คสช.อธิบายจะอ้างว่าทำตามกฎหมาย แต่กฎหมายที่ คสช.ระบุนั้น เป็นกฎหมายที่ออกโดย คสช. เป็นกติกาที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วม ยิ่งเมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้อง คสช. ก็ยิ่งมีคำถามเกี่ยวกับ “ธรรมาภิบาล” ที่ คสช.นั่นแหละต้องการอยากให้ประเทศไทยมี ทั้งนี้ เพราะ คสช.ลงแข่งขันในการเลือกตั้งด้วย แต่กฎกติกาไม่เอื้อให้ฝ่ายที่คิดต่างจาก คสช.ได้ขยับ และยังมีบางประเด็นที่กำลังทำลายฝ่ายที่เห็นต่าง คสช.
ปัญหาเรื่องความชอบธรรมที่เดิมอาจจะดูแล้วไม่ค่อยเป็นปัญหาสำหรับ คสช.มากนัก แต่ขณะนี้เสียงเรื่องความไม่ชอบธรรมเริ่มดังมากขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหนึ่งก็มาจากการใช้กฎกติกาที่ คสช.กำหนดขึ้นมาเอง หรือไม่ก็เป็นการบังคับใช้กฎหมายที่ “แม่น้ำ 5 สาย” กำหนดขึ้น แต่ผู้ที่ถูกบังคับใช้เริ่มแสดงสิทธิตอบโต้ ไม่ยินยอม และส่งเสียงสอบถามเรื่องความชอบธรรม เรื่องเช่นนี้กำลังย้อนกลับไปคุกคาม คสช.ผู้บังคับใช้กฎระเบียบ เสียงถามหาความชอบธรรมเริ่มกลายเป็นหัวข้อที่ผู้คนพูดคุย และแสดงความคิดเห็น เป็นประเด็นที่เริ่มมีส่งเสียงดังในวงกว้าง และดังขึ้นเรื่อยๆ จน คสช.น่าจะได้ยิน
