ที่เห็นและเป็นไป : พิสูจน์โดย‘พลังประชารัฐ’

ถึงวันนี้คงปฏิเสธกันไม่ได้แล้วว่า “พลังประชารัฐ” ที่มีความชัดเจนว่าตั้งขึ้นมาเพื่อสานต่ออำนาจของ “คสช.” มีโอกาสสูงยิ่งสำหรับชัยชนะในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

ชัยชนะที่นักวิเคราะห์การเมืองเชื่อว่าจะเกิดขึ้นนี้ มาจากการมองปัจจัยการเมืองที่สะท้อนความเหนือกว่าในด้านต่างๆ ของพรรคพลังประชารัฐ

หนึ่ง การใช้ชื่อ “ประชารัฐ” ซึ่งเป็นของ “โครงการรัฐบาลที่ทุ่มเงินมหาศาลให้กับประชาชน” เป็น “ชื่อพรรค” พร้อมกับ “ผู้นำพรรค” เป็นคนเดียวกับทีม “คณะรัฐมนตรี” ที่ดูแลโครงการ

สอง การจัดการให้ “นักการเมืองผู้กว้างขวางในพื้นที่เข้าสังกัดพรรค” ได้มากกว่า ชนิด “เหลือเชื่อบางคน”

Advertisement

สาม การลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรี ที่มี “ผู้นำแลนักการเมืองของพรรคในพื้นที่ประกบอยู่เคียงข้าง” พร้อมอนุมัติงบประมาณแบบถึงใจเพื่อทำโครงการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่

ยังไม่รวมการพูดถึงการใช้ข้าราชการซึ่งที่ผ่านมาเอื้อผลประโยชน์ด้านรายได้และสวัสดิการให้มากมายเป็นมือเป็นไม้อำนาจรวยความสะดวกให้ทีมงาน ขณะที่เป็นอุปสรรคให้คู่แข่ง

และอื่นๆ

วันนี้ ชื่อของ “พลังประชารัฐ” จึงหอมหวนสำหรับโอกาสในชัยชนะ นำ คสช.สานต่ออำนาจได้อีกวาระ

แต่นี่คือการพิสูจน์ถึง “ความเชื่อ” ที่ประชาชนไทยเห็นต่างกันก่อนหน้านั้น

ในช่วงที่เกมการเมืองต่อสู้กันรุนแรงต่อเนื่องหลายปีก่อนที่จะจบลงด้วยการทำรัฐประหารของ คสช.

เป็นที่รับรู้กันว่า เป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ความคิด

ฝ่ายหนึ่ง ไม่ยอมรับรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชนเพราะเชื่อว่า “ประชาชนไทยส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ความเข้าใจพอที่จะได้รับสิทธิการมีส่วนร่วมในอำนาจอย่างเท่าเทียม”

ประชาชนเป็นพวกเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้า เอาแต่พวกพ้อง ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถของผู้สมัคร เป็นการกาบัตรด้วยประโยชน์ที่ได้รับการอุปถัมภ์มากกว่ามองคุณภาพ และความดีความชั่วของผู้สมัคร

นักการเมืองซื้อเสียง ประชาชนขายเสียง

ซึ่งความเชื่อนี้เองที่นำมาซึ่ง “รัฐธรรมนูญ” และ “กฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับการจัดวางโครงสร้างอำนาจทางการเมือง” ไปในทางจำกัดสิทธิของประชาชน และให้ “สิทธิกับคนบางกลุ่มบางพวกในการกำหนดความเป็นไปของอำนาจรัฐมากกว่าคนส่วนใหญ่”

ฝ่ายนี้เชื่อว่า นี่คือ “ความเป็นจริงในคุณภาพของคนไทยส่วนใหญ่เหมาะกับวิธีการนี้มากกว่า”

เพราะไม่เช่นนี้ “ใครมีเงินก็ซื้ออำนาจรัฐ ผ่านการซื้อเสียงได้”

ความเชื่อนี้ถูกโจมตีจาก “อีกฝ่ายหนึ่ง” ว่า “ดูถูกประชาชน” หาข้ออ้างที่จะลดอำนาจประชาชน

ฝ่ายหลังไม่เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ จะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว จนขายเสียงให้นักการเมืองมาซื้ออำนาจรัฐ ผ่าน “ผู้กว้างขวางในพื้นที่”

ความเชื่อที่ขัดแย้งนี้นำมาซึ่งความแตกแยกของคนในชาติ

ต่างฝ่ายต่างไม่เชื่อว่า “ความเชื่อของอีกฝ่ายถูก ของฝ่ายตัวเองผิด”

และการพิสูจน์ว่า “ประชาชนไม่พร้อมจริงหรือไม่” เป็นเรื่องยาก ที่จะหาคำตอบอันเป็นที่ยอมรับ

เพราะมองไม่เห็นหนทางที่จะหาคำตอบอย่างได้รับการยอมรับร่วมกันได้

กระทั่งวันนี้ เกิด “พรรคพลังประชารัฐ” ขึ้น เป็นพรรคที่สร้างขึ้นด้วยฝ่ายที่เชื่อว่า

“ประชาชนไทยไม่ฉลาดพอที่จะใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมีประสิทธิภาพ ยังเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าที่แจกจ่ายให้มากกว่าผลที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในอนาคต ทำให้ได้นักการเมืองที่เป็นผู้มีอิทธิพล เจ้าพ่อ มาเฟีย ไม่มีความรู้ความสามารถ เล่นการเมืองแสวงอำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง”

เป็นวันนี้ที่ “ผู้ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ” กำลังจะพิสูจน์ให้เห็นว่า “ความเชื่อเช่นนั้นของพวกเขาเป็นความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้”

ชัยชนะของ “พรรคพลังประชารัฐ” จะเป็นบทพิสูจน์คุณภาพประชาชนไทย ในเรื่อง “ความพร้อมที่จะมีสิทธิในอำนาจที่เท่าเทียม” ซึ่งคนกลุ่มนี้พยายามชี้ให้เห็นมาตลอดว่า “ไม่มีอยู่”

ผลการเลือกตั้งที่จะได้เห็นกันอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

พวกเขาจะทำให้เห็นว่า “ความเชื่อว่าประชาชนไทยไม่มีคุณภาพพอที่จะมีสิทธิทางการเมืองที่เท่าเทียม” นั้น

เป็นเรื่องจริงหรือไม่

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image