ที่เห็นและเป็นไป : ‘ดีขึ้น’ด้วยมือเรา

ปี2562 ผ่านไปแล้วเดือนหนึ่ง มกราคมหมดไปเริ่มกุมภาพันธ์ ในช่วงต้นปีเราต่างตั้งความหวังและภาวนาให้พรกันว่าปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมา

ความหวังและคำพรนั้นไม่เป็นจริง สถานการณ์ทุกด้านดูจะเลวร้าย

ในภาพใหญ่เศรษฐกิจโลกดูจะไม่ไปในทางที่ดีนัก สหรัฐอเมริกามหาอำนาจยังอยู่ในสภาพดิ้นรนหาทางให้ตัวเองพ้นจากภาวะวิกฤตยังยาก นโยบายและมาตรการต่างๆ ที่คิด

และนำออกมาใช้กระทบต่อประเทศต่างๆ ในทางที่ถูกกดดันให้ตึงเครียดไปทั่ว
สภาวะโลกดำเนินไปในทิศที่ต่างคนต่างหาทางเอาตัวรอด หาประโยชน์ใส่ตัวเสียเป็นหลัก ไม่มีข่าวความช่วยเหลือเกื้อกูลต่อประเทศที่ยังอ่อนแอเหมือนที่เคยเป็นมาในอดีตให้ได้ยิน

Advertisement

วกกลับมาที่ประเทศไทยเรา

คำว่า “ดีขึ้น” เป็นแค่คำพรปีใหม่ที่มองไม่เห็นทางที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้

ปัญหาปากท้องของคนส่วนใหญ่ถูกซ้ำเติมด้วยความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น

Advertisement

คนกลุ่มหนึ่งที่ร่ำรวย ครอบครองทรัพย์สินส่วนใหญ่ของประเทศอยู่แล้ว นับวันยิ่งร่ำรวย ทำกำไรให้กิจการของตัวเองได้มากขึ้น ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมีแต่จะยิ่งจนลง การทำมาหากินยากลำบากขึ้น

ข่าวเรื่องหนี้ครัวเรือน ไปในทางเดียวกับหนี้รัฐบาล

คนจำนวนมากต้องสูญเสียอาชีพไป และเริ่มต้นอาชีพใหม่อย่างไม่มีความหวังอะไรนัก

เดือนแรกของปี คนกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงถูกซ้ำเติมด้วย “ฝุ่นพิษ” ที่ครอบคลุมเมืองแน่นหนา ระดับ “มหันตภัย” ส่งผลต่อปัญหาสุขภาพที่จะออกอาการให้เห็นในอนาคต

ไม่มีมาตรการแก้ไขอย่างเป็นความหวังได้จากผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ

คำพูดแบบทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น เพราะเป็นเพียงวาทกรรมปัดความรับผิดชอบของผู้ที่มีหน้าที่แก้ไขโดยตรง ไม่มีความชัดเจนว่าจะนำให้เกิด “ต้องช่วยกัน” ในรูปแบบใด

ชีวิตในหน้ากากกันฝุ่นจึงสิ้นหวัง หดหู่

ไม่มีใครบอกหนทางที่จะทำให้อะไรต่ออะไรดีขึ้น ทุกคนต่างหาทางดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดกันเองไป

อาชญากรรมโหดเหี้ยมแบบที่ไม่เคยพบเคยเห็นเกิดขึ้นทั่ว และบ่อย ในความขึ้งเคียดของสังคม

แต่อย่างว่า “ชีวิตต้องดำเนินไปด้วยความหวัง”

เป็นธรรมชาติของมนุษย์จะต้องมองหาความหวังให้ตัวเองไว้ เพราะ “ความหวังเป็นพลังชีวิต”

อยู่กับ “ความสิ้นหวังเท่ากับบั่นทอนชีวิต”

ความหวังครั้งใหม่คนส่วนใหญ่ฝากไว้กับ “รัฐบาลหลังเลือกตั้ง”

“24 มีนาคม” คือหมุดหมายใหม่ของความหวัง

มีความเชื่อว่า “การนำประเทศกลับสู่ประชาธิปไตย” หลังจาก 5 ปีที่ประชาชนถูกยึดอำนาจไป จะเป็นโอกาสที่ชีวิตจะดีขึ้น

เสียงแห่งความหวังในภาพรวมสะท้อนออกมาอย่างนั้น

ทว่า การให้เห็นไปตามที่หวังดูจะเป็นภาระใหญ่หลวงของประชาชน

การเลือกตั้งที่จะให้ได้มาซึ่งรัฐบาลของประชาชนอย่างแท้จริง มีอุปสรรคมากมาย ด้วยเจตนาสืบสานระบอบอำนาจนิยมต่อไป

พรรคการเมือง และนักการเมืองฝ่ายที่อิงอาศัยประชาชนเพื่อเข้าไปเปลี่ยนแปลงพยายามบอกหนทางและวิธีการที่ “ทุกคนต้องช่วยกัน” เพื่อให้ความหวังเป็นจริง

ความพยายามเช่นนั้นกลับมีอุปสรรคมากมาย ทั้งการส่งหน่วยราชการลับเข้าไปติดตามจับจ้อง ในสถานการณ์ที่กฎหมายใหม่ระบุพฤติกรรมที่เป็นความผิด และโทษร้ายแรงไว้อย่างกว้างขวางจนขยับตัวกันได้ยากลำบาก

ความหวังที่เต็มเปี่ยมว่า “รัฐบาลหลังเลือกตั้ง” จะนำอะไรต่ออะไรให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น จึงเป็นเพียงความหวังลอยๆ

โอกาสที่่จะเกิดขี้นจริงดูจะรางเลือน

“ทุกคนต้องช่วยกัน” เป็นหนทางเดียว

แต่แม้ “หนทางเดียวที่เหลืออยู่” ก็ยังให้ความมั่นใจไม่ได้มาก

กลไกของ “อำนาจนิยม” ยังทรงอิทธิฤทธิ์ที่จะหยุดความเปลี่ยนแปลงไว้อย่างทรงพลัง

แม้ปีใหม่ผ่านไป 1 เดือนแล้วอย่างเห็นๆ ว่า ความหวังและคำพรไม่มีผลอะไรต่อชีวิต

การก้าวไปสู่ “ความหวังครั้งใหม่” คือ “รัฐบาลหลังการเลือกตั้ง”

ทำอย่างไรให้ไม่เป็น “ความหวังลอยลม” แตะความสำเร็จให้เป็นจริงให้ได้

คำตอบเหมือนเดิม “ทุกคนต้องช่วยกัน”

และต้องขวนขวาย เพียรพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมทำให้เกิดขึ้น

แค่มี “ความหวัง” ไม่พอ ต้อง “เดินให้ถูกทาง” ไม่ยอมให้อะไรมาชักจูงให้ “ออกนอกทาง”

ตนเท่านั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image