พรรคค้างคาว : โดย วีรพงษ์ รามางกูร

การเมืองไทยในศึกการเลือกตั้งที่เคยเป็น 3 ก๊ก เหมือนพงศาวดารจีน เมื่อถึงเวลาจะสู้ศึกกันจริงๆ 3 ก๊กในพงศาวดารจีนก็เหลือเพียง 2 ก๊กหรือ 2 ฝ่าย เมื่อจิวยี่หลงกลขงเบ้งที่เอาเรื่องผู้หญิงเข้าไปยั่วก็เหลือเพียง 2 ก๊ก คือก๊กที่มีโจโฉเป็นใหญ่ และก๊กที่มีเล่าปี่เป็นใหญ่ ส่วนก๊กที่ซุนกวนเป็นใหญ่ก็มาเข้าด้วยกับฝ่ายเล่าปี่ สู้กับโจโฉที่ตั้งตนเป็นอุปราชรับอำนาจจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งครองราชย์อยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง

ในเมืองไทยที่ประกาศเป็นอิสระแก่กันก็มีอยู่ 2 ฝ่าย ฝ่ายต่อต้านการสืบต่ออำนาจเผด็จการทหารที่ได้อำนาจมาจากการทำปฏิวัติรัฐประหาร ใช้อาวุธยึดอำนาจอธิปไตยไปจากปวงชนชาวไทย ได้แก่พรรคเพื่อไทยและพรรคพันธมิตร ฝ่ายที่สองก็คือฝ่ายคณะรัฐประหาร คสช.ที่ต้องการสืบต่ออำนาจหลังจากที่ครองอำนาจมาแล้วกว่า 5 ปีและยังอยากจะอยู่ในอำนาจต่อไป โดยอ้างว่าฝ่าย คสช.เป็นฝ่ายที่สามารถยุติการต่อสู้แบ่งฝักแบ่งฝ่าย สามารถนำความสงบมาสู่บ้านเมืองทั้งๆ ที่ตนเองเป็นผู้ประกาศใส่เกียร์ว่าง ไม่รับคำสั่งนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังการชุมนุมปิดสถานที่ราชการ ปิดกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ มีพัฒนาการต่อมาเป็นขบวนการทางการเมืองก่อนกำหนดวันเลือกตั้ง จัดตั้งพรรคการเมืองสนับสนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร ลงสมัครรับเลือกตั้งโดยประกาศว่าพรรคตนสนับสนุนนายทหารคนเดิมที่นำรัฐประหารกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อสะสางงานที่คั่งค้างให้สำเร็จลุล่วงไป

ฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรคทหารอีกส่วนหนึ่ง เป็นพรรคที่ได้รับเลือกตั้งที่พร้อมจะเข้ากับฝ่ายเสียงข้างมากที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎรได้ เป็นที่ชัดเจนว่าการแบ่งฝ่ายดังกล่าวของพรรคการเมืองได้สะท้อนความเป็นจริงในสังคมว่ายังแบ่งฝ่ายกันเป็น 2 ฝ่าย ซึ่งก็เป็นของธรรมดาของทุกสังคม ความเห็นอาจแตกต่างกันได้และตัดสินกันโดยการเข้าคูหาใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนน ฝ่ายไหนได้เสียงข้างมากก็เป็นฝ่ายชนะ

ที่วางตัวลำบากคือพรรคประชาธิปัตย์ ไม่รู้จะวางตนอย่างไร ทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เข้าร่วมรัฐบาลหรือได้เป็นรัฐบาลทุกครั้งเพราะการให้ความร่วมมือกับฝ่ายทหารตลอดมา ไม่ว่าหัวหน้าพรรคจะเป็นผู้ใด มีเพียงครั้งเดียวที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเสียงข้างน้อยจากการเมืองที่ได้จำนวน ส.ส.มากที่สุด คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ซึ่งก็อยู่ได้ไม่นาน

Advertisement

นอกจากนั้นได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็คือได้เข้าร่วมรัฐบาลด้วยการเชื้อเชิญจากทหารหลังการทำรัฐประหารทั้งสิ้น

คราวนี้ประชาชนเข้าใจและรู้อย่างเต็มอกว่า ประชาธิปัตย์ต้องการเข้าร่วมรัฐบาลทหารโดยมีนายทหารคนเดิมเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน ไม่น่าจะมีก๊กที่ 3 เพราะการศึกก็ดี การเมืองก็ดี การแบ่งฝ่ายมีเพียง 2 ฝ่ายเท่านั้น เลือกตั้งครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน จะเอาผู้นำเผด็จการหรือผู้นำประชาธิปไตย ผู้นำเผด็จการจะกลายพันธุ์มาเป็นประชาธิปไตยนั้นเป็นไปได้ยาก นอกจากจะทำตัวเป็น “ศรีธนญชัย” เท่านั้น และมีการปล่อยข่าวว่าจะเสนอให้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็หมายความว่าเป็นประธานรัฐสภาด้วย เพราะจะเป็นรองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลแบบเดียวกับพรรคเล็กๆ อื่นๆ ก็คงไม่สมศักดิ์ศรีของพรรคที่มีคะแนนเสียงมากที่สุดในรัฐบาลรองลงมาจากพรรคเพื่อไทย และเคยเป็นนายกรัฐมนตรีของนายทหารคนเดิมมาแล้ว

เมื่อหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ประกาศไม่สนับสนุนนายทหารคนเดิมเป็นนายกรัฐมนตรี และยืนยันจะสนับสนุนตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม แต่การประกาศไม่เอานายทหารคนเดิมเป็นนายกรัฐมนตรี กลายเป็นพาดหัวตัวไม้ของหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ ทั้งๆ ที่เป็นการประกาศที่ถูกต้องแล้วของพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย หลังจากการประกาศของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่าพรรคเลือกที่จะไม่อยู่กับฝ่ายเผด็จการทหาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาอยู่ฝ่ายพรรคเสียงข้างมาก และประกาศตัวว่าจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

Advertisement

ก็เป็นท่าทีที่ถูกต้องแล้ว ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ทันทีที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ประกาศ วันรุ่งขึ้นผู้นำการชุมนุม กปปส. แล้วหันมาสนับสนุนการจัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่มีอดีตปลัดกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหัวหน้าพรรค ก็ออกมาปราศรัยบริภาษลำเลิกบุญคุณที่ตนเองสนับสนุนให้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี การพูดลำเลิกบุญคุณ พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นเช่นนี้ ถูกนำมาใช้กับพวกเดียวกันแล้วหลังจากไม่มีใครมาต่อกรด้วย

เหตุการณ์ดังกล่าวย่อมทำให้เหล่าแม่ยก อาซ้อ อาอี๊ ประหลาดใจเป็นอันมาก เพราะหัวหน้าพรรคกับพรรคและคนในพรรค แม้จะแตกแยกไปแล้วก็ไม่ควรกลับมาบริภาษ ทวงบุญคุณกัน เพราะบ้านเมืองเราไปชดใช้บุญคุณกันไม่ได้ และไม่ควรจะเป็นกิริยาท่าทางที่หัวหน้าผู้ชุมนุม กปปส.แสดง ทำราวกับว่าตนเองเป็นเจ้าของพรรคและเจ้าชีวิตของหัวหน้าพรรค ทั้งๆ ที่ก็ทราบดีว่าเจ้าของพรรคและวิญญาณของพรรคประชาธิปัตย์คือผู้ใด หาใช่อย่างที่กล่าวอ้างไม่ แต่เจ้าของพรรคและจิตวิญญาณของพรรคเป็นผู้ใหญ่พอ ไม่เคยทวงบุญคุณกับใคร ใครที่ออกไปแล้วประกาศตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามมักจะพังและสูญสลายไป แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังมีชีวิตอยู่ พร้อมๆ กับวิญญาณของพรรคที่เป็นผู้ชี้ทางสว่างให้พรรค ทุกพรรคการเมืองที่แยกตัวออกไปจากพรรคประชาธิปัตย์ในที่สุดก็ล่มสลายพร้อมๆ กับตัวผู้แยกออกไปทั้งสิ้น กรณี กปปส.ก็คงจะเช่นเดียวกัน

เมื่อหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ประกาศว่าจะไม่เอานายทหารคนเดิม ขณะเดียวกันก็ไม่เอาฝ่ายพรรคเพื่อไทย แล้วจะเอาอย่างไร แม้ว่าจะไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะเคยร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารมาแล้ว เคยคว่ำบาตรการเลือกตั้งมาแล้ว เพราะรู้ว่าจะไม่ชนะการเลือกตั้ง แล้วคราวนี้จะเอาอย่างไร

จะเข้าร่วมรัฐบาลก็ไม่ใช่ รัฐบาลเขามีพรรคการเมืองและพรรคบริวารของเขาอยู่แล้ว จะเข้าร่วมเป็นฝ่ายค้านก็มีพรรคเพื่อไทยและพันธมิตรอยู่แล้ว ตกลงพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นอะไร กลายเป็นพรรค “นกมีหูหนูมีปีก” ไปร่วมกับซีกรัฐบาลก็ไม่ได้ เขามีของเขาอยู่แล้ว ไม่มีที่ให้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั่ง นอกจากจะลาออกขึ้นไปเป็นรองประธานที่ปรึกษาพรรค แล้วให้หัวหน้าพรรคคนใหม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลเป็นรองนายกรัฐมนตรี หรือข้ามห้วยไปเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปกติพรรครัฐบาลเขาก็คงไม่ปล่อยให้พรรคร่วมรัฐบาลไปเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะไม่อาจจะมั่นใจได้ว่าประธานสภาผู้แทนราษฎรจะมี “ความเป็น
กลาง” ได้จริง

ถ้าพรรคตนไม่เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรเสียเอง เขาคงไม่ยอมให้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ถ้าจะไปก็คงให้รองหัวหน้าพรรคหรือรองเลขาธิการพรรคมากกว่า

การวางตัวของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก ยิ่งประกาศว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่ำกว่า 100 คน ตนจะลาออกจากตำแหน่ง ควรจะประกาศด้วยว่าจะไม่กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกแม้กรรมการบริหารพรรคจะเลือกกลับมาอีกก็ตาม เพราะทำมาหลายหนจนไม่มีใครเชื่ออีกแล้ว

พรรคประชาธิปัตย์ให้สมญาตนเองว่าเป็นพรรคแมลงสาบ เพราะเป็นพรรคเดียวที่อยู่รอดมาได้ทุกยุคทุกรัฐบาล ไม่เหมือนกับไดโนเสาร์เต่าล้านปีที่สูญพันธุ์ไปพร้อมๆ กับการที่มีอุกกาบาตหรือดาวเคราะห์น้อยโคจรมาชนโลก จนเกิดไฟบรรลัยกัลป์ บรรดาสิ่งมีชีวิตตายหมดยกเว้นแมลงสาบ

ในยุคนี้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เป็นพรรคแมลงสาบแล้ว แต่กำลังกลายเป็นพรรค “นกมีหู หนูมีปีก” เพราะอยู่ข้างรัฐบาลก็ไม่ใช่ อยู่ข้างฝ่ายค้านก็ไม่เชิง จะเป็นนกก็ไม่ใช่ จะเป็นหนูก็ไม่เชิง จะเป็นฝ่ายสืบทอดเผด็จการก็ไม่ใช่ จะเป็นฝ่ายประชาธิปไตยก็ไม่จริง กลายเป็นค้างคาวที่ห้อยหัวลงหากินตอนกลางคืน

ไม่ใช่แมลงสาบหรอก ค้างคาวมากกว่า

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image