รัฐมนตรีขี้ประจบ : วีรพงษ์ รามางกูร

รัฐมนตรีต่างประเทศของเรากลายเป็น “คุณจ้อ” ไปเสียแล้ว เพราะออกมาพูด “เลีย” หัวหน้ารัฐบาลอย่างออกหน้าออกตาจนเกินไป จนกลายเป็น “เรื่องคลื่นไส้” ไป เพราะเป็นไปไม่ได้ที่รัฐมนตรีคนนี้จะพูดผิด เอาสีข้างเข้าถูเพื่อประจบหัวหน้า คสช.หรือหัวหน้าคณะรัฐประหาร

ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ก็ออกมาพูดโกหกประชาชนว่าจะทำหนังสือถึงรัฐบาลฮ่องกง ให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนทั้งๆ ที่คณะผู้บริหารฮ่องกงไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องนี้เลย เรื่องการต่างประเทศเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศของจีนที่ปักกิ่ง แต่ก็แกล้งออกข่าวไปอย่างนั้น แล้วเรื่องก็เงียบหายไป ไม่ทราบว่าได้ทำหนังสือไปถึงผู้บริหารคณะฮ่องกงอย่างที่พูดกับสาธารณชนหรือไม่ สื่อมวลชนก็ไม่ได้ติดตาม

มาคราวนี้ ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตและกงสุลก็มาสังเกตการณ์ การเข้าพบเจ้าหน้าที่สอบสวนของหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ หลังจากประสบความสำเร็จในการนำพรรคอนาคตใหม่ชนะการเลือกตั้งในกรุงเทพฯ รวมทั้งในจังหวัดภาคใต้หลายแห่ง พรรคอนาคตใหม่ประกาศนโยบายพรรคที่จะต่อสู้ขัดขวางระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ โดยเจ้าหน้าที่นำเอาเรื่องเก่า 4-5 ปีก่อนมารื้อฟื้น ทำคดีใหม่แล้วส่งไปพิจารณาที่ศาลทหาร โดยให้เหตุผลว่าขณะที่กระทำผิดนั้นมีการประกาศใช้กฎอัยการศึก ห้ามชุมนุมเกินกว่า 5 คน การพาคนขึ้นรถกลับไปส่งบ้าน เป็นการช่วยเหลือผู้ต้องหาหลบหนี ส่วนเลขาธิการพรรคถูกข้อหาจากการเขียนและพูดในการเสวนาทางวิชาการ ในที่เปิดเผย ถึงรูปแบบของการปกครองระบอบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

ตามมาตรฐานสากลของชาติที่เจริญทางสติปัญญาแล้ว การออกหมายเรียกหลังจากพรรคอนาคตใหม่ได้ที่นั่งในสภามากเกินคาดและเป็นพรรคที่ต่อต้านเผด็จการทุกรูป พร้อมกับต่อต้านการสืบทอดอำนาจเผด็จการ ของคณะผู้บริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ อันเป็นนโยบายที่จะยกฐานะของประเทศไทยในสายตาของชาวต่างประเทศให้สูงขึ้น เพราะในโลกนี้มีเพียงประเทศไทยและประเทศเล็กๆ ในแอฟริกาและหมู่เกาะบางแห่ง ถ้าไม่รวมถึงประเทศอาหรับในตะวันออกกลางและประเทศบรูไน ที่ยังมีระบอบการปกครองที่ล้าหลัง ไม่เป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ

Advertisement

แถมหัวหน้า คสช.คณะรัฐบาล ยังเข้าใจผิดว่าตนเป็น “ประเทศ” หรือเป็น “รัฐ” มักจะพูดเสมอว่า ผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมคัดค้านเผด็จการและการสืบทอดอำนาจของตนเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติ ความมั่นคงของรัฐ ความจริงเป็นการทำลายความมั่นคงของตัวเองและรัฐบาล “เผด็จการ” ที่ตนเองไปยึดเอามา

หลังจาก กกต.ประกาศผลการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้ยังไม่ยอมประกาศเพราะคิดเลขไม่ให้คะแนน “เขย่ง” ยังไม่ลงตัว เพราะหลายฝ่ายก็มีหลักฐาน ถ้าหากทำตามใบสั่งของหัวหน้ารัฐบาลตนก็อาจจะถูกฟ้องเป็นคดีอาญา และอาจจะถูกลงโทษจำคุก แม้ว่านายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นคนแต่งตั้งก็ไม่ได้หมายความว่าต้องละทิ้งความถูกต้อง เพื่อตอบแทนบุญคุณ เมื่อได้รับการแต่งตั้งแล้วบุญคุณก็ส่วนบุญคุณ แต่ต้องไม่ทรยศต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเอง ต้องเคารพตัวเองกับทั้งต้องเคารพประชาชนผู้ลงคะแนนเสียง ไม่จำเป็นต้องออกมาพูดประจบพูดเลียทหาร อย่างรัฐมนตรีต่างประเทศที่ยอมลดตัวเองจากนักการทูตอาชีพออกมาให้ข่าว ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จกับประชาชนอยู่หลายครั้งหลายหน แม้ว่าตนเองไม่ได้มาด้วยวิถีทางประชาธิปไตย แต่ก็ควรทำตัวให้เป็น “อารยะ” หน่อย

เมื่อจะพูดถึงต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่ต่อต้านหรือไม่ต่อต้าน รัฐบาลเผด็จการทหารใช้ปืนใช้รถถังเข้ามายึดอำนาจจากพวกเราประชาชน โกหกว่าจะอยู่ไม่นานเพื่อขจัดความขัดแย้งซึ่งขณะนี้ไม่มีแล้ว นี่ก็อยู่มา 5 ปีแล้วและยังมีแผนจะสืบทอดอำนาจต่อไปอีก หลังเปิดประชุมรัฐสภา ออกมาต่อว่าเขาไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานมารยาททางการทูต เข้าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย เข้ามาสังเกตการการเรียกหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ตามหมายเรียก

Advertisement

การมาพบเพื่อชี้แจงข้อกล่าวหาซึ่งเกิดขึ้นมา 4-5 ปีแล้ว จริงอยู่แม้ว่าคดียังไม่หมดอายุความ แต่การกระทำในช่วงเวลานี้เห็นได้ว่าตำรวจก็เล่นการเมือง เพราะความผิดฐานช่วยผู้ต้องหาผู้ต่อต้านการทำปฏิวัติรัฐประหาร หรือความผิดในฐานอื่นๆ บัดนี้ไม่เป็นความผิดอีกต่อไปแล้ว เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร พ.ศ.2560 ยกเลิกความผิดต่างๆ ทางการเมืองกับทุกฝ่ายไปแล้วตามธรรมเนียม

นักการทูตก็ดี นักการคลังก็ดี นักกฎหมายก็ดี นักวิชาการอื่นๆ ก็ดี รัฐบาลทุกรัฐบาลต่างก็ต้องการ โดยเฉพาะกระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศ เพราะทหารไม่มีความฉลาดและความสามารถพอที่จะเข้าใจ ยิ่งกระทรวงการต่างประเทศถ้าจะใช้ทหารยศพลโทพลเอกไปเป็นรัฐมนตรี โดยไม่ได้คืนยศแบบตะวันตก ก็ไม่จำเป็นต้องทรยศต่อวิชาชีพของตนเอง ออกมา “จ้อ” โกหกกับประชาชนแทนรัฐบาล กล่าวประณามนักการทูตประเทศที่เขาเจริญแล้ว ทางการเมืองเป็นการทำให้เกียรติภูมิของประเทศไทยเสียหาย เป็นข่าวไปทั่วโลกว่าทางกระทรวงการต่างประเทศเรียกนักการทูตไป “ขอร้อง” ว่าอย่าทำอย่างนี้อีก การออกข่าวเช่นว่าเป็นการเน้นลักษณะของความเป็นเผด็จการมากขึ้นไปอีก

ที่นักการทูตเขาอยากเข้าไปฟังการกล่าวหาต่อนักประชาธิปไตยโดยรัฐบาลเผด็จการ ก็ย่อมเป็นของธรรมดาอยู่แล้ว เพราะไม่มีใครเชื่อถือเผด็จการว่าจะมีธรรมาภิบาลและความเป็นนิติรัฐตามมาตรฐานสากล การที่เขาระแวงอย่างนั้นก็เพราะตำรวจบ้านเขาไม่เคยทำอย่างตำรวจไทย การออกมา “จ้อ” ทำเป็นโมโหของรัฐมนตรีต่างประเทศไม่ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่ทำให้เขาเห็นว่ามาตรฐานของประเทศไทยต่ำแค่ไหน เพราะรัฐมนตรีต่างประเทศแสดงความไม่เป็นผู้ใหญ่เพียงพอในทางปฏิบัติกับนักการทูตต่างประเทศ ไม่ได้แสดงว่าตัวมีศักดิ์ศรี ด้วยคุณสมบัติของตัวเองไม่ต้องไป “เลีย” กันถึงขนาดนั้น ดีที่รัฐมนตรีกระทรวงอื่นเขามิได้ทำอย่างนั้น มิฉะนั้นนานาอารยประเทศจะยิ่งดูถูกเรามากกว่านี้

จริงอยู่การเป็นกระบอกเสียงให้กับ “รัฐบาลเผด็จการ” เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาตรฐานสากล ไม่ได้ปฏิบัติตนตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ยังมีการจับคนขึ้นศาลทหารทั้งที่ไม่ได้มีการประกาศกฎอัยการศึก กฎอัยการศึกสมัยที่อ้างว่ามีการกระทำผิดก็ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ความผิดทางการเมืองเมื่อถูกยกเลิกไปตามรัฐธรรมนูญก็ถูกยกเลิกไปด้วยตามหลักกฎหมายอาญา อย่างไรเสียนานาอารยประเทศเขาก็ยอมรับไม่ได้

การกล่าวอย่างอหังการว่าประเทศไทยไม่ต้องง้อ ไม่ต้องสนใจกับหลักสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ตามที่ตนได้ลงนามรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนไว้เป็นประเทศต้นๆ วาทกรรมของเผด็จการดังกล่าวไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ขืนทำก็จะยิ่งสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลกับประเทศ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและเกียรติภูมิ

ประเทศไทยที่เป็นประเทศเล็กและต้องอาศัยตลาดต่างประเทศ เป็นตลาดระบายสินค้าที่ตนสามารถผลิตได้เกินกว่าความต้องการใช้ในประเทศ ขณะเดียวกันก็ต้องพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ที่เข้ามาซื้อข้าวซื้อของซื้อบริการในประเทศไทย

การที่ประเทศไทยมีรัฐมนตรีต่างประเทศขาดคุณสมบัติการเป็นนักการทูต ออกมาอธิบายสิ่งที่ไม่จริง เอาความเท็จมาอธิบาย พูดถึงกฎหมายระหว่างประเทศ ประเพณีการปฏิบัติของนักการทูตอย่างผิดๆ ถูกๆ ย่อมเป็นการเสียหน้าประเทศชาติอย่างมาก ทั้งๆ ที่นักการทูตและสื่อมวลชนต่างประเทศยังไม่ได้ทำหน้าที่ต่อต้าน “เผด็จการทหาร” และอยู่เคียงข้างฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ เพราะเหตุผลทางผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนของตน เสียงคัดค้านต่อต้านจึงแหบแห้งลง

การออกข่าวว่าจะไม่อนุญาตให้ผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งและผู้สื่อข่าวจากต่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้งทั่วไป ทำให้ผู้คนทั่วโลกสงสัยตั้งแต่รัฐมนตรีต่างประเทศออกมาให้สัมภาษณ์อยู่แล้วว่าจะต้องมีการ “โกงเลือกตั้ง” รัฐมนตรีพูดอย่างไม่ฉลาดเพราะการอนุญาตหรือไม่อนุญาต ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ เป็นเรื่องของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อ กกต.อนุญาตตามหลักสากลที่ประเทศที่เจริญทางสติปัญญาเขาทำกัน

การเข้ามาสังเกตการณ์และการเข้ามาแทรกแซงเป็นคนละเรื่อง หรือการเลือกตั้งได้เตรียมการ “โกง” ไว้ตั้งแต่ต้น จึงไม่อยากให้ใครเข้ามาสังเกตการณ์ แต่ในที่สุดรัฐมนตรีต่างประเทศก็ “หน้าแตก” เพราะมีการเชิญผู้สังเกตการณ์ต่างประเทศมาดูการเลือกตั้งในประเทศอยู่ดี

ทั้งหัวหน้ารัฐบาลและรัฐมนตรีไม่ควรจะต้อง “จ้อ” แต่ถ้าจะจ้อก็ต้องพูดแต่เรื่องที่เป็นจริง การอ้างกฎหมาย การอ้างประเพณีพิธีการทูต การอ้างเรื่องที่เป็นเท็จ เมื่อผู้รู้เขารู้ว่าเป็นเท็จ ความเคารพนับถือก็หมดไป กลายเป็นความ “คลื่นไส้” เข้ามาแทน

ซึ่งนับวันจะมากขึ้นทุกที

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image