ช่วงก่อนกับหลัง พ.ศ.2500 รัฐไทยถนัดยัดเยียดข้อหา “คอมมิวนิสต์” ให้กับ “คนที่คิดต่าง” พร้อมกับหยิบยื่นภัยคุกคามสารพัดรูปแบบ ตั้งแต่จับกุมคุมขังไปจนถึงอุ้มหายสาบสูญและยิงทิ้ง
สิ่งที่ไม่เคยนึกว่าจะมี “จึงมี” ที่ไม่เคยนึกว่าจะเห็น “จึงเห็น”
ลูกๆ หลานๆ ถูกป้ายสีสาดโคลนว่าเป็นคอมมิวนิสต์กันตั้งแต่ยังเป็นเด็ก นักเรียน เยาวชน นิสิตนักศึกษา ครูบาอาจารย์ที่ค้นคว้าวิจัยขยายขอบเขตการศึกษากว้างไกลเลยพ้นออกจากกะลาก็ถูกกลั่นแกล้งรังแกกวาดล้างจับกุม บ้างถูกฆ่า บ้างหนีตายหายเข้าไปในป่าเขา บ้างก็หนีไปอยู่ต่างประเทศ
ที่ไม่เคยนึกว่าจะมี “ก็มี” !
เกิดมี “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” ขึ้นมาต่อสู้นอกระบบรัฐสภา
ที่ไม่เคยนึกว่าจะเห็น “ก็เห็น” !
คนไทยจับอาวุธลุกขึ้นสู้กับกองทัพรัฐบาล
ได้เห็น “กองทัพปลดแอก” ภายใต้การนำของ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เป็นคู่ศึกที่น่ายำเกรงหวาดหวั่นที่สุดแห่งยุคสมัย
กว่าสังคมไทยจะพบว่า “เดินทางผิด” คนไทยทั้งสองฝ่ายสูญเสียล้มตายกันมากมายสุดคณานับ
จนถึงปี พ.ศ.2523 จึงเกิดมี “นโยบาย 66/23” ที่ทรงคุณค่าและความหมาย ส่งผลให้การสู้รบกับพรรคคอมมิวนิสต์ยุติลง
รัฐบาลเปิดบ้านเปิดเมืองให้คนป่าคืนสู่นาครได้ดำเนินชีวิตเฉกเช่นคนไทยโดยทั่วไป
การกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” กลับกลายเป็น “ภัย” ชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า “แนวร่วมมุมกลับ” (ตัวก่อปัญหา) หรือเชื้อโรคร้ายที่บั่นทอนทำลายให้สังคมอ่อนแอ
สังคมไทยรับกับความแตกต่างทางความคิดในระดับ “สุดขั้ว” และ “ก้าวข้าม” วิกฤตการณ์อันยาวนานนั้นได้ก็ด้วย “สติและปัญญา” !
คาดคิดไม่ถึงว่า ภายหลังหมดสิ้นภัยคอมมิวนิสต์ เพียง 2 ทศวรรษ ไทยก็มืดอีกครั้ง !
แค่คิดต่างกัน ผลประโยชน์ไม่ลงรอยกันก็ประดิษฐ์ “วาทกรรม” ขึ้นมาทำลายฝ่ายตรงข้ามอย่างเมามัน
สังคมไทยกำลังวกกลับไปยัง “ที่เก่า-เวลาเดิม”
“แนวร่วมมุมกลับ” ปลุกกระแส จุดชนวน สร้างเกลียดชังด้วยการใส่ร้ายป้ายสียัดเยียดข้อหาอย่างไม่เป็นธรรมให้กับฝ่ายตรงข้าม
ก่อนหน้านี้ 10 ปี สร้าง “ระบอบทักษิณ” ให้เป็นผี
ปฏิวัติรัฐประหาร 2 ครั้งไม่ให้ผีได้ผุดได้เกิด
หมดจาก “ผีทักษิณ” จากนี้ไปถึงคิว “อนาคตใหม่” !?!!