ตั้งแต่กึ่งพุทธกาล ปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา ยังไม่เคยมีผู้นำทางการเมืองคนไหนกล้าประกาศนำพาประเทศไทยย้อนสู่โบราณกาลเฉกเช่น “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์”
จอมพลสฤษดิ์ โค่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายผู้มีพระคุณลงจากเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี”
ยังดีที่หรี่ตาให้ทั้ง จอมพล ป. และ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ “หนี” ไม่ถึงกับลงมือไล่ล่า
ฉากการเมืองก่อนรัฐประหาร
นักศึกษาประชาชนชุมนุมต่อต้านการโกงเลือกตั้งของจอมพล ป. หนังสือพิมพ์ นักวิชาการ นักพูด นักเขียน มีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์จอมพล ป.กับ พล.ต.อ.เผ่า
ผู้ชุมนุมมีเสรีที่จะเคลื่อนย้ายเดินโห่ร้องไปตามท้องถนน ที่สุดก็ไปชุมนุมกันถึงหน้าบ้านพัก “ผบ.ทบ.”
เมื่อพากันมาถึงหน้าบ้าน “จอมพลสฤษดิ์” ซึ่งบัดนั้นราววีรบุรุษผู้ลอยตัวอยู่เหนือความขัดแย้งก็ออกมาต้อนรับพร้อมกับกล่าวคำซึ่งถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ว่า
“ในนามกองทัพบกและผู้แทนประเภทสอง ข้าพเจ้าได้กระทำการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของประชาชนและประโยชน์ของประชาชน การมาของท่านครั้งนี้ ข้าพเจ้าถือว่าให้การสนับสนุน และให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้าที่จะดำเนินสืบไป”
เช้าวันรุ่งขึ้น 17 กันยายน 2500 “สฤษดิ์” ก็นำกองทัพก่อ “รัฐประหาร”
นักหนังสือพิมพ์ นักคิด นักเขียน นักพูด นักวิชาการ นักการเมือง มีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์กระหน่ำซ้ำเติมจอมพล ป. พล.ต.อ.เผ่า และบริวาร
เมื่อสิ้นเสี้ยนหนาม !
ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2501 “จอมพลสฤษดิ์” ก็รัฐประหารอีกครั้ง เพื่อสถาปนาตัวเองขึ้นคุมอำนาจเต็มๆ นั่นเป็นจุดที่เรียกว่า การนำพาไปสู่การเมืองแบบ “พ่อปกครองลูก” ซึ่งไม่ต้องการ การซักถาม วิจารณ์ ตรวจสอบและถ่วงดุล
เสรีภาพการคิด การพูด การเขียน ถูกปิดลิดรอนสิ้นทันที !
นักคิด นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ผู้นำนักศึกษา คนคิดต่างที่ขวางหูขวางตาถูกกล่าวหาว่าเป็นอันธพาล เป็นคอมมิวนิสต์ ถูกกวาดล้างปราบปรามครั้งใหญ่ นับสิบถูกประหาร นับพันคนถูกคุมขัง กว่า 300 คน ได้อยู่ประจำที่เรือนจำลาดยาว
ขณะที่การเมืองแบบสฤษดิ์กำลังจะเดินต่อไป ในปี พ.ศ.2506 ท่านจอมพลก็ถึงแก่อนิจกรรม
จาก “วีรบุรุษ” ผู้สถาปนาระบบความคิดการเมืองประชาธิปไตยแบบไทยๆ ตามใจตัว กลายเป็น “ผู้ถูกรุมทึ้ง” จากภริยาและทายาทที่เปิดศึกแย่งมรดกหลายพันล้าน
“ความเป็นอนิจจัง” ของชีวิตคนเราไม่มีใครคาดคำนวณได้
เรื่องราวของ “ท่านจอมพล” ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งทางการเมืองและการทหารถูก “เปิดเผย” เร็วเกินไป !?!!
