ที่มา | คอลัมน์ ดุลยภาพดุลยพินิจ มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ |
เผยแพร่ |
การเมืองในสหรัฐอเมริกากำลังสะท้อนความแตกต่างทางความคิดของคนในชาติมากกว่าครั้งก่อนๆ การสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันซึ่งเคยทำได้ดีมาโดยตลอดกำลังถูกท้าทาย ดังจะสังเกตได้จากการแข่งขันระหว่างตัวแทนผู้สมัครประธานาธิบดีในพรรครีพับลิกันที่กระแสชาตินิยมขวามีความรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งคนในพรรคไม่สามารถสืบทอดบทบาทที่สำคัญนี้ได้
ผู้ที่มีอำนาจในพรรครีพับลิกันไม่สามารถหยุดยั้งเสียงที่มาแรงเกินความคาดหมายของมหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำคนสำคัญของพรรคหลายราย เช่น มิตต์ รอมนีย์ และพอล ไรอัน ได้แสดงความเห็นที่ไม่สนับสนุนหรือตีห่างออกจากผู้สมัครรายนี้
ในขณะที่ทรัมป์เองก็ไม่ยี่หระต่อการสนับสนุนของผู้ที่มีบทบาทนำในพรรครีพับลิกัน
ทรัมป์กำลังเป็นปัจจัยทางการเมืองที่สำคัญยิ่ง ความเห็นและบุคลิกภาพที่แข็งกร้าว ได้สร้างความสนใจในสื่อมากกว่าฮิลลารี คลินตัน ทั้งที่ใช้เงินหาเสียงน้อยมากเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ และน้อยเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับฮิลลารี คลินตัน
ผู้ที่อาจสามารถเอาชนะทรัมป์ได้คือ เบอร์นี แซนเดอร์ส ผู้สมัครฝ่ายซ้ายตัวแทนพรรคเดโมแครต แต่แซนเดอร์สไม่สามารถเอาชนะคนของพรรคอย่างฮิลลารี คลินตัน ได้
จากผลการสำรวจเสียงสนับสนุนของสำนักต่างๆ ฮิลลารี คลินตัน เป็นคู่แข่งที่เคยทิ้งห่างทรัมป์ในตอนแรกๆ แต่ในขณะนี้ทรัมป์มีเสียงเป็นรองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
คู่แข่งทั้งสองมีภาพลักษณ์ที่อ่อนแอทางด้านความตรงไปตรงมา ฮิลลารีได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจขนาดใหญ่และผู้หญิงโดยเป็นสัญลักษณ์ของความเหมือนเดิม ทรัมป์ได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านผิวขาวและพวกอนุรักษนิยมโดยเป็นสัญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลง
ประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้งไม่มีทางเลือกที่ถูกใจกว่านี้
บุคลิกของทรัมป์ที่กล้าพูดสิ่งที่นักการเมืองไม่กล้าพูดและไม่สนใจการเสียเสียงสนับสนุน กำลังชนะอารมณ์ความรู้สึกของชาวบ้านที่เบื่อสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าและวาทะอันสวยหรูของผู้นำทางการเมือง ทรัมป์จึงมีโอกาสที่จะเอาชนะฮิลลารี คลินตัน ได้ทั้งที่พรรคเดโมแครตในปัจจุบันมีฐานเสียงที่ใหญ่กว่าพรรครีพับลิกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มาจากชนชั้นกลาง ผู้หญิงและคนผิวสี
เงินทุนหาเสียงที่ระดมและใช้ไปเป็นจำนวนมากมายของฮิลลารี คลินตัน ค่อนข้างขาดประสิทธิผลในขณะที่ทรัมป์ได้พิสูจน์แล้วว่าเขาสามารถสร้างความสนใจท่ามกลางเสียงโจมตีได้โดยไม่ต้องอาศัยเงินหาเสียงและแรงสนับสนุนจากพรรครีพับลิกัน
โอกาสที่ทรัมป์จะสามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเป็นประเด็นที่ควรได้รับความสนใจ เพราะอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางนโยบายของสหรัฐอเมริกา รวมทั้งผลกระทบในทางเศรษฐกิจและการเมืองต่อเอเชียตะวันออกด้วย
ทรัมป์มีทรรศนะทางการเมืองแบบอนุรักษนิยมที่ขวาเอามากๆ ในช่วงที่ผ่านมาได้สร้างความกังวลให้กับนักการเมืองในพรรครีพับลิกัน ด้วยการแสดงความเห็นแบบไม่ต้องกลั่นกรองไปในทางที่ถูกโจมตีได้ว่ามีอคติทางผิว เพศ และชาตินิยมสุดขั้ว
นี่กลับสร้างแรงสนับสนุนจากคนจนและนักธุรกิจรายย่อยที่เป็นชาวผิวขาวได้อย่างโดนใจ
ทรรศนะทางเศรษฐกิจของทรัมป์เป็นแบบรีพับลิกัน คือสนับสนุนภาคธุรกิจและการลดภาษี ต่างที่ไม่สนับสนุนการค้าเสรีและการนำเข้าแรงงานต่างชาติ เน้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการปกป้องอุตสาหกรรมภายใน ในลักษณะที่เป็นแบบลัทธิพาณิชย์นิยม มิใช่เสรีนิยม
แนวทางเศรษฐกิจของทรัมป์เท่าที่แสดงออกมามีลักษณะเชิงยุทธศาสตร์และมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในสหรัฐ ได้แก่
(1) การตัดลดภาษีขนานใหญ่
(2) การปฏิรูปแรงงานต่างชาติ
(3) การไม่สนับสนุนข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) และข้อตกลงหุ้นส่วนเอเชีย-แปซิฟิก (TPP)
แนวทางการตัดลดภาษีเป็นมาตรการขนานเอกของทรัมป์และมีความชัดเจนกว่าแนวทางแบบเดิมๆ ของโอบามาและฮิลลารี คลินตัน ที่เน้นการใช้จ่ายและสวัสดิการของรัฐและไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจที่ถดถอยได้จริง
ภาษีที่หาเสียงไว้ว่าจะให้มีการปรับลด ได้แก่ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากอัตราที่สูงมากคือร้อยละ 35 เป็นอัตราเพียงร้อยละ 15 และการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากที่มีอยู่ 7 ชั้นรายได้และมีอัตราสูงสุดที่ร้อยละ 39.6 เป็นโครงสร้าง 3 ชั้นรายได้ที่มีอัตรา 10, 20 และ 25
ข้อเสนอเกี่ยวกับการลดอัตราภาษีรายได้ทั้งสองประเภทนี้จึงนับว่ามีความชัดเจนและแรง
แนวทางการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นการเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานของคนในสหรัฐและพยายามทำโครงสร้างให้ง่าย แต่เป็นแผนภาษีที่เปลี่ยนโครงสร้างโดยไม่จำเป็นในขณะที่เอื้อผู้มีรายได้สูงมากจนเกินไป
ส่วนแนวทางการลดภาษีบริษัทเป็นการแก้ไขปัญหาที่สำคัญสำหรับธุรกิจสหรัฐ เนื่องจากที่ผ่านมามีอัตราภาษีที่สูงเกินไปและไม่สอดคล้องกับแนวโน้มการแข่งขันทางเศรษฐกิจของโลก ส่งผลให้นักธุรกิจนิยมไปจดทะเบียนในต่างประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำกว่าหรือทำสัญญาว่าจ้างบริษัทต่างประเทศผลิตแทน
ธุรกิจสหรัฐที่ผ่านมาจำนวนมากอาศัยการลงทุนในต่างประเทศ และการว่าจ้างจากต่างประเทศผลิตเป็นการสร้างความสามารถในการแข่งขันไปแล้วเป็นจำนวนมาก แนวทางของทรัมป์อาจช่วยบริษัทเหล่านี้ไม่ได้ แต่จะทำให้บริษัทที่ผลิตภายในประเทศมีความเข้มแข็งมากขึ้นและกลายเป็นกลไกที่จะเพิ่มการจ้างงานใหม่ขึ้นมา
โดยสถานการณ์แล้ว แนวทางนี้น่าจะมีผลดีต่อธุรกิจในสหรัฐมากเพราะจะทำให้แนวโน้มการเข้าไปลงทุนในสหรัฐที่กำลังมีแนวโน้มขยายตัวมีโมเมนตัมที่แรงขึ้นอย่างชัดเจน
จึงเป็นจุดเด่นในนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์และจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเอเชีย
การปฏิรูปแรงงานต่างชาติเป็นแนวทางที่ให้สีสันอย่างมากสำหรับการหาเสียงของทรัมป์ ในปัจจุบัน ชาวต่างชาติที่เข้าเมืองผิดกฎหมายในสหรัฐอเมริกามีมาถึง 11 ล้านคน และเป็นเป้าสายตาที่ทำให้ชาวบ้านผิวขาวรู้สึกอึดอัดว่าถูกแย่งโอกาสในการทำมาหากินจากคนผิวสี นักการเมืองพรรคเดโมแครตอาศัยฐานเสียงจากเครือญาติของแรงงานต่างชาติเหล่านี้ ส่วนทรัมป์กล้าโจมตีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเข้ามาอย่างผิดกฎหมายของคนผิวสี รวมทั้งปัญหาการคัดกรองผู้อพยพชาวมุสลิม
ทรัมป์พูดถึงการสร้างกำแพงกั้นชายแดนที่ติดกับเม็กซิโกและเสนอให้ขับคนที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมายออกนอกประเทศ แต่ก็พร้อมจะรับเข้ามาทำงานใหม่ได้ถ้าผ่านกระบวนการทางกฎหมายอย่างถูกต้องแล้ว
ในทางเศรษฐศาสตร์ แรงงานต่างด้าวมีผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจของสหรัฐ เพราะช่วยป้อนแรงงานราคาถูกให้กับภาคการผลิตและคนงานเหล่านี้ก็มิได้ทดแทนคนงานสหรัฐโดยตรง ผลทางอ้อมที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจกลับทำให้ชาวสหรัฐมีแรงกดดันจากภาวะการว่างงานน้อยลง
แนวทางของทรัมป์ในเรื่องแรงงานต่างชาติจึงอาจมีผลเสียในทางเศรษฐกิจได้ถ้าขาดความละเอียดรอบคอบ
การขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายหรือตามเกณฑ์ที่มีอยู่แล้วสามารถกระทำได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปและไม่ต้องถึงขั้นขับออกนอกประเทศอย่างใหญ่โตซึ่งถ้าทรัมป์เป็นประธานาธิบดีจริงๆ อาจจะไม่รุนแรงเหมือนตอนหาเสียงที่อาศัยสามัญสำนึกที่มิได้คร่ำหวอดกับนโยบายก็ได้
แนวทางการค้าระหว่างประเทศเป็นความแตกต่างที่อาจทำให้ผู้สมัครได้เสียงจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลอยู่บ้าง เพราะข้อตกลงการค้าเสรีมักถูกมองว่าทำให้ประชาชนชั้นล่างได้รับผลกระทบจากการนำเข้าที่มากขึ้น ทว่าคงไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญนักสำหรับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
ทรัมป์ไม่สนับสนุนข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือที่ริเริ่มมาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีบุชผู้พ่อ และไม่สนับสนุนข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิกที่ริเริ่มโดยรัฐบาลโอบามา
ข้อตกลงทั้งสองเป็นข้อตกลงที่มีขนาดใหญ่และเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลสหรัฐในการแข่งขันทางการค้ากับความรุ่งเรืองของเอเชียตะวันออก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อตกลงหุ้นส่วนเอเชีย-แปซิฟิกนั้นเป็นมากกว่าการขยายฐานทางด้านเศรษฐกิจและการค้า และการเพิ่มอำนาจต่อรองบนเวทีการเจรจาเท่านั้น หากยังเป็นส่วนหนึ่งของการปิดล้อมจีนด้วย
ดังนั้น แนวทางดังกล่าวนี้จึงมิใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย เพราะจะมีผลต่อปริมณฑลทางด้านการเมืองและความมั่นคงระหว่างประเทศของสหรัฐ
ผลกระทบที่อาจมีต่อการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียและสันติภาพในทะเลจีนใต้ ทำให้ชาติเอเชียโดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม และประเทศไทย จะต้องจับตาดูการเปลี่ยนแปลง
ไม่ว่าทรัมป์หรือฮิลลารี คลินตัน จะเป็นประธานาธิบดี